เที่ยวเมืองเลยแบบคนไม่เอาถ่าน(ภูป่าเปาะ-ด่านซ้าย-เชียงคาน)
ใส่บาตรข้าวเหนียว เชียงคาน (Giving alms in Chiang Khan) จ.เลย
Wefoto Phongthonเที่ยวเมืองเลยแบบคนไม่เอาถ่าน(ภูป่าเปาะ-ด่านซ้าย-เชียงคาน)
เที่ยวเมืองเลยแบบคนไม่เอาถ่าน(ภูป่าเปาะ-ด่านซ้าย-เชียงคาน)

เที่ยวเมืองเลยแบบเป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อม ลดการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งที่เที่ยว ที่กิน ที่พัก ล้วนมีการดูเเลเอาใจให้เกิดก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาน้อยที่สุด เราจะไปดูกันว่าคนไม่เอาถ่านเค้าเที่ยวกันที่ไหนบ้าง

ที่แรกที่เราจะไปคือ สวนภูห้อมหรือฟาร์มภูห้อม ที่นี้เป็นแปลงเกษตรอินทรีย์ เมื่อเรามาถึงที่นี่ เราได้รับเวลคัมดริ๊งเป็นน้ำฟักข้าวที่ปลูกเอง

ที่สวนภูห้อมเราจะได้มารู้เรื่องราวเกี่ยวกับพีชผักสวนครัว ซึ่งบางชนิดเราสามารถเอาไปปลูกในเมืองได้นะครับ หรือสถานที่ที่มีพื้นที่น้อยๆอย่างในคอนโดก็ได้นะครับ จากนั้นเราเดินทางต่อไปที่ ชุมชนบ้านผาฝ้าย อ.หนองหิน ที่นี่มีกิจกรรมสนุกๆสำหรับครอบครัว คือการวาดลวดลายลงกระปุกออมสินไม้ไผ่



เราสามารถที่จะวาดเอง,ลอกลายหรือเขียนแคปชั่นเก๋ๆ ลงกระปุกออมสินตามใจชอบ จึงถือเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่มาเป็นครอบครัว และคราวนี้เราจะไปยังจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของแหล่งท่องเที่ยวบริเวณนี้ นั่นคือภูป่าเปาะครับ การเดินทางเพื่อขึ้นไปยังภูหอนั้นเราจำเป็นที่จะต้องใช้รถอีแต๊กเพราะทางขึ้นมีความลาดชั้น และลื่นมากครับ และการใช้บริการรถอีแต๊กนี่เองก็เป็นการช่วยให้ชุมชนมีรายได้และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไปในตัว

ซึ่งภูป่าเปาะนี้เองเป็นจุดชมวิวภูเขายอดตัดที่เรียกว่า "ภูหอ" หรือที่รู้จักกันในนาม"ฟูจิเมืองเลย" ถ้าใครโชคดีอาจจะได้เจอทะเลหมอกครับ


หลังจากขึ้นไปถ่ายรูปภูหอกันมาแล้วเราลงไปทานอาหารด้านล่าง ตรงบริเวณจุดบริการขึ้นรถอีแต๊กนั่นแหละครับ มีทั้งน้ำพริกผักต้มหน่อไม้บง แพนงหมู ต้มจืด ไข่เจียว แต่ที่เด็ดสุดคือ สับปะรดไร่ม่วงครับ หวานฉ่ำ ไม่กัดปาก กินเท่าไหร่ก็ไม่พอจริงๆ หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วพวกเรานั่งรถต่อไปที่ อ.ด่านซ้าย ทันที เพราะในช่วงนี้ เป็นวันงานบุญเลี้ยงหอของชาวด่านซ้าย จะมีการทำต้นผึ้งและน้ำไปถวายแก่พระธาตุศรีสองรัก สถานที่ที่เราจะไปทำต้นผึ้งนั่นคือบ้านของเจ้าแม่นางเทียมครับ เจ้าแม่นางเทียมนั้นเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวด่านซ้ายอยู่คู่มากับเจ้าพ่อกวน ซึ่งทั้งสองท่านจะมีบทบาทสำคัญในงานประเพณีต่างๆของชาวด่านซ้าย

การทำต้นผึ้งนั้นก็เพื่อที่จะนำไปบูชาและขอพรต่อพระธาตุศรีสองรักนั่นเองครับ

เสร็จจากการทำต้นผึ้งเราไปต่อกันที่วัดโพนชัย เพื่อไปชมพิพิธภัณฑ์ผีตาโขน วัดโพนชัยนั้นเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของอำเภอด่านซ้าย ซึ่งในเดือน 7 (กรกฏาคม) จะมี งานบุญหลวง หรือที่เราอาจจะรู้จักกันในงานเทศกาลผีตาโขนนั้นเอง ในวัดแห่งนี้จึงมีพิพิธภัณฑ์ผีตาโขนตั้งอยู่ด้วย เมื่อเราไปถึงที่วัดเหล่ามัคคุเทศก์น้อยก็รอตอนรับเราอยู่แล้ว พวกน้องๆได้พาเราเดินชมพิพิธภัณฑ์ พร้อมๆ กับการบรรยายเรื่องราวความเป็นมาของผีตาโขน และฮีตสิบสองคลองสิบสี่

หลังจากนั้นเรามาทำของที่ระลึกของเมืองด่านซ้ายกันนั้นคือการวาดหน้ากากผีตาโขนเล็กกันแล้วครับ งานนี้ก็มีพี่ๆคอยให้คำแนะนำในการวาดให้ด้วย ถึงจะไม่เหมือนก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็เป็นผีมือของเรา


จากนั้นเราเดินทางไปที่ภูนาคำรีสอร์ท ภูนาคำรีสอร์ทก็เป็นอีกแห่งนึงที่เข้าร่วมโครงการโลว์คาร์บอนด้วยเช่นกัน แต่ในวันนี้เราจะมาชิมอาหารกันที่ภูนาคำรีสอร์ทครับ ซึ่งเป็นอาหารตำหรับด่านซ้ายทั้งนั้น

ทั้ง เมี่ยงน้ำผักสะทอน ขนมจีนเส้นสด ด๊องแด๊ง ไข่ปาม อาหารทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็น Raw Food ครับ เพราะมีการปรุงแต่งรสชาติน้อยมาก


เมื่อวานเราได้ทำต้นผึ้งกันไปแล้วมาในวันนี้เราจะนำต้นผึ้งมาถวายแก่พระธาตุศรีสองรักครับ ข้อห้ามที่สำคัญของพระธาตุศรีสองรักคือ ห้ามใส่เสื้อผ้าสีแดง รวมถึงสิ่งของสีแดงขึ้นไปยังองค์พระธาตุ เพราะสีแดงหมายถึงเลือด การสู้รบ การเป็นศัตรู ซึ่งขัดกับความหมายของพระธาตุที่สร้างขึ้นเพื่อความรักและความสามัคคี


จากพระธาตุศรีสองรักเราเข้าเมืองด่านซ้ายเพื่อมาร่วมงานบุญเลี้ยงหอหลวง หนึ่งในงานบุญเดือนเจ็ด เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาวด่านซ้าย โชคดีจริงๆที่เราได้มีโอกาสมาร่วมงานนี้ด้วย ซึ่งผ็นำในการทำงานประเพณีนี้คือเจ้าพ่อกวนครับ


เราไปต่อที่สวนลุงวุฒิ เพื่อไปทำกิจกรรม "ปลูกต้นไม้ในใจคน" เป็นการหัดปลูกแคคตัสและจัดสวนเล็กๆลงกระถาง ซึ่งขอเพียงแค่มีที่ว่างนิดๆหน่อยๆเราก็สามารถนำสวนเล็กๆของเรานี้ไปวางได้

นอกจากนี้สวนลุงวุฒิยังมีดอกไม้สวยๆให้เราเลือกชม เลือกซื้ออีกมาก ไม่ว่าจะเป็น สับปะรดสี กุหลาบหิน กุหลาบพันปี โบตั๋น ล้วนแต่น่ารักๆทั้งนั้นเลย

สำหรับมื้อเที่ยงในวันนี้เราไปกันที่ "ภูเรือนไม้รีสอร์ท" ครับเป็นอาหารแบบผูกปิ่นโต ซึ่งอาหารในมื้อนี้เป็นผลผลิตจากทางรีสอร์ทแทบทั้งสิ้น

จากนั้นเราไปนาโยนกันต่อ เป็นการทำนาวิธีโบราณ ซึ่งช่วยประหยัดเวลา ประหยัดพันธุ์ข้าว ลดขั้นตอนจากการทำนาดำ ใช้ทุนและแรงงานน้อยกว่าการทำนาดำด้วยครับ


กิจกรรมที่ "ภูเรือนไม้รีสอร์ท" ยังไม่หมดแต่เพียงแค่นี้ครับ เสร็จจากงานหว่านไถ..มาร้อยมาลัยใบข้าว... เสร็จจากกิจกรรมนาโยนเราขึ้นมาทำข้าว-งากันต่อ ซึ่งข้าว-งานั้นเป็นอาหารพื้นเมืองโบราณของไทเลยที่นำ งาเจียง น้ำอ้อย และข้าวเหนียว มาโขลกให้รวมเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นของบ้านๆแต่หากินยากของชาวไทเลยครับ (ปล.รูปตอนเสร็จไม่มีอ่ะ..เพราะอร่อยมาก..กินหมดแล้วก็ลืมถ่าย)

จากนั้นเราจะเดินทางไปที่เชียงคานกันต่อแต่เราจะแวะไปที่ พระธาตุสัจจะ อ.ท่าลี่ จ.เลย ก่อนครับ ดูๆแล้วองค์พระธาตุสัจจะนี้เหมือนกับองค์พระธาตุพนมเลย นั่นก็เพราะว่า พระธาตุสัจจะนั้น สร้างขึ้นมาจากความเชื่อที่ว่าเป็นการ ต่อชะตาให้กับองค์พระธาตุพนมที่ได้พังทลายลง เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๘ และเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์ธาตุ และพระปถวีธาตุพนม (ดินจากพระธาตุพนม) พระธาตุสัจจะนี้เองก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของ อ.ท่าลี่ ด้วยครับ


เมื่อเรามาถึงเชียงคานแล้วสิ่งที่เราได้รับจากต้อนรับแบบโบราณของชาวเชียงคาน นั่นคือการทำ "ผาสาดลอยเคราะห์" และการ "รับขวัญ"

"ผาสาดลอยเคราะห์" นั้นทำเพื่อเป็นการปล่อยทุกข์-ลอยโศก ลอยสิ่งไม่ดีทิ้งไป เพื่อที่จะได้รับสิ่งดีๆเข้ามา และมีความเชื่อว่า เมื่อลอย ผาสาดไปแล้ว ห้ามหันหลังกลับไปมอง เพราะไม่อย่างนั้นสิ่งไม่ดีที่เราลอยไปนั้นจะย้อนกลับมาอีก

เมื่อเราลอยเคราะห์เสร็จแล้วจากนั้นก็ได้เวลาทำพิธีบายศรีเอิ้นขวัญ จากหมอพราหมณ์ เพื่อเป็นการเรียกสิ่งดีๆให้เข้ามาในชีวิตเรา

เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วเราก็มีเวลาพอที่จะเก็บภาพสวยๆยามเย็นของเมืองเชียงคานกันครับ


ยามเช้าที่เชียงคาน

สิ่งที่เราไม่ควรจะพลาดเลยคือการใส่บาตรพระยามเช้าครับ ที่เชียงคานนั้นเป็นการใส่บาตรพระที่ดูอ่อนน้อมมากครับ เพราะผู้ใส่จะนั่งกับพื้น เมื่อพระมาจึงนำข้าวของที่เตรียมมาใส่บาตรแตกต่างจากเมื่องกรุงที่แสนจะเร่งรีบจริงๆ

หลังทานอาหารเช้าที่เชียงคาน เราลงมาที่ชุมชนนาอ้อ อ.เมืองจังหวัดเลยครับ ที่นี่เค้ามีกิจกรรมทำผ้ามัดยอมจากสีธรรมชาติ สอนเราตั่งแต่การทำริ้วลายของผ้า การมัดหนังยาง สีที่ออกมาเหลืองสดใสเลยทีเดียว

ซึ่งนอกจากการทำผ้ามัดย้อมแล้ว ที่บ้านนาอ้อยังมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่แสดงถึงความเป็นอยู่ของชาวนาอ้อในสมัยก่อน และประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชาวนาอ้อกับชาวฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคมด้วยนะครับ


จากนั้นเราไปต่อกันที่โรงแรมเลยพาวิลเลี่ยน เป็นโรงแรมที่ได้รับรางวัลกรีนโฮเต็ล ซึ่งที่นี่มีการสอนทำน้ำยาล้างจาน สบู่ แชมพู

และที่ด้านหลังโรงแรมยังมีสวนเล็กๆเเบบพอเพียงแต่พอดี

ให้เราได้ศึกษาดูงานทั้งการทำสวนครัวแบบพึ่งต้นเอง หมูหลุม การทำน้ำส้มควันไม้

หลังจากดูการทำงานต่างๆของของโรงแรมก็ได้เวลาขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพกันแล้วครับ เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะตกเครื่องกันซะก่อน ก็เป็นอันปิดทริป เที่ยวเมืองเลยแบบคนไม่เอาถ่าน และผมต้องขอขอบคุณโครงการดีๆลดการใช้คาร์บอนจาก องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท.เลย โทร.042 861 116-8, 081 261 4961 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเลย โทร. 0 4281 2812, 0 4281 1405 หรือ 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย และผู้ประกอบการทุกท่านครับ
