Clik here to view.

ทริปเดินป่า 4 วัน 3 คืน | ดอยปุยหลวง - ดอยสะเงาะ - ดอยเลโจ๊ะ จ.แม่ฮ่องสอน
ดอยปุยหลวง บ้านห้วยฮี้ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จ.
Namee Be Bearเดินป่าสายโหด จ.แม่ฮ่องสอน
เดินป่าสายโหด | ดอยปุยหลวง - ดอยสะเงาะ - ดอยเลโจ๊ะ จ.แม่ฮ่องสอน ทริปเดินป่า 4 วัน 3 คืน | 10-13 ธันวาคม 2563 เดินป่าไทยให้ได้บรรยากาศเหมือนเดินป่าต่างประเทศ
ทริปนี้เป็นการเที่ยวแบบจอยทริปนะจ๊ะ (เน้นสะดวกสบาย) ไปช่วงต้นเดือนธันวาคมอากาศยังไม่หนาวมาก จุดเด่นของดอยปุยหลวงคือไปชมทะเลหมอกและชมทุ่งดอกเอ็นอ้า แต่ในช่วงปลายปีเริ่มไม่มีให้เห็น อยากไปสัมผัมทะเลหมอกให้ไปเดือนตุลาคม ทริปนี้ไปกันทั้งหมด 11 คน แต่วันที่ไปมีเจออีก 2 กรุ๊ป #อยากเที่ยวป่าต้องกินง่ายอยู่ง่าย #นอนกลางดินกินกลางทาง
Clik here to view.

วิวบนยอดดอยปุยหลวง
::จุดเด่น จุดอ่อน จุดโหด ของ 3 ดอย:: 1. ดอยปุยหลวงมีระยะเส้นทางการเดินเท้าไม่ไกลไม่โหด และในช่วงฤดูหนาวจะพบกับดอกเอ็นอ้าสีชมพูอมม่วง ซึ่งมี 5 กลีบ มีเกสรสีเหลือง มีผลกลมเหมือนรูปถ้วย ที่บานสะพรั่งต้อนรับนักท่องเที่ยว (ในช่วงเดือนธันวาคมเริ่มมีให้เห็นไม่เยอะ) 2. เป็นดอยที่ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ ที่แค้มป์ดอยปุยหลวงมีเฉพาะของทรูเท่านั้น ส่วนบนยอดดอยจะมีทรู กับ AIS (สัญญาณมาตามลมขาดๆ หายๆ) ส่วนดอยสะเงาะไม่ต้องพูดถึง และดอยเลโจ๊ะมีสัญญาณให้เห็นแต่เล่นไม่ได้ เล่นได้เป็นบางช่วงจังหวะตามแรงลม 555++ ส่วนระหว่างเส้นทางเดินเท้าทั้ง 4 วัน สัญญาณแถบไม่มีเลย 3. ดอยปุยหลวงสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในจุดชมวิวเดียวกัน เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองวิวได้รอบ 360 องศา 4. บนยอดดอยปุยหลวงจะมีหมุดและป้ายจุดฝึกทหารเสือราชินี และมีสัญญาณโทรศัพท์มือถือมากที่สุดกว่ายอดดอยอื่นๆ 5. ดอยสะเงาะระยะเส้นทางการเดินเท้าไกลกว่าทุกๆ ดอย เดินโหดระดับบานกลางมีทั้งทางราบ ขึ้นเขา ลงเขา เลาะสันเขา เดินครบทุกรสชาติ ซึ่งเส้นทางเดินเท้าระหว่างไปดอยสะเงาะ และดอยเลโจ๊ะ ค่อนข้างโหดร้ายพอควร ต่างจากดอยปุยหลวงเดินง่ายสบายๆ แพร๊บเดียวถึง 6. ดอยสะเงาะสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในจุดชมวิวเดียวกัน แต่บริเวณจุดชมวิวมีพื้นที่ค่อนข้างแคบ ระยะทางในการเดินไปยังจุดชมวิวไม่ไกลและไม่โหดร้ายมาก มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือแต่ไม่ค่อยแรง จะแรงเป็นบางเครือข่ายเท่านั้น 7. ดอยเลโจ๊ะระยะเส้นทางการเดินเท้าไม่ไกลแต่โคตรของโคตรโหดร้ายทั้งขาขึ้นและลงเขา 8. บนยอดดอยเลโจ๊ะสามารถตั้งแค้มป์บนยอดดอยได้เลย และสามารถชมวิวที่จุดพักแค้มป์ได้ แต่มีพื้นที่จำกัดในการตั้งแค้มป์ พื้นที่สามารถรับได้ 2 - 3 กรุ๊ปเท่านั้น 9. ที่พักแค้มป์บนยอดดอยเลโจ๊ะไม่มีแหล่งน้ำใดๆ ทุกคนต้องเตรียมน้ำและแบกน้ำกินส่วนตัวเองขึ้นมาเองจากดอยสะเงาะไปดอยเลโจ๊ะ ::กฎระเบียบและข้อห้าม:: 1. เสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชุมชนคนละ 30 บาท 2. ต้องมีผู้นำหรือไกด์นำทางทุกครั้งในการเดินเท้า หรือติดต่อ 086-432-7255 3. ต้องฟังคำแนะนำและปฏิบัติตามผู้นำทางที่เป็นจุดอันตรายและจุดเสี่ยงอันตราย 4. ห้ามทิ้งขยะและสิ่งของในพื้นที่ชุมชนและในป่า 5. ห้ามเก็บดอกไม้หรือกล้วยไม้ทุกชนิด 6. ให้พักได้เฉพาะที่แค้มป็นนอนเท่านั้น และห้ามก่อไฟบนยอดดอย
::การเดินเท้า 4 วัน 3 คืน::DAY-1 | จากจุดเริ่มเดินเท้า ณ บ้านห้วยฮี้ - ถึงจุดพักแค้มป์ ระยะทางประมาณ 2 กิโล ใช้เวลาในการเดินเท้าประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมง (แล้วแต่กำลังขาของแต่ละคน) และจากจุดพักแค้มป์ - ไปยอดดอยปุยหลวง ระยะทางประมาณ 500 เมตร ใกล้ๆ ใช้เวลาในการเดินเท้าไม่ถึง 30 นาที (เส้นทางเดินไม่โหดร้าย)DAY-2 | จากจุดพักแค้มป์ดอยปุยหลวง - ไปดอยสะเงาะ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง (แล้วแต่กำลังขา) ระยะทางประมาณ 8 กิโลครึ่ง เป็นเส้นทางที่เดินไกลสุด เดินเลาะตามสันเขา ขึ้นเขา ลงหุบเขา เส้นทางไม่ถึงกับโหดร้ายแต่ทำให้ร่างกายล้ามากๆ ส่วนเส้นทางเดินเท้าไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น น่าจะประมาณ 2 กิโลได้ เส้นทางมีไต่ระดับขึ้นยอดแต่ไม่ถึงกับโหดร้าย แถมเส้นทางพาชวนหลงทางแนะนำให้เดินกันไปเป็นกลุ่ม จุดชมวิวที่นี่สวยสู้อีก 2 ดอยไม่ได้DAY-3 | จากจุดพักแค้มป์ดอยสะเงาะ - ไปดอยเลโจ๊ะ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 4 กิโลครึ่ง (ลูกหาบบอกมา) เส้นทางเดินเท้าขึ้นชัน-ลงชัน มาพร้อมของแถมคือไต่เขาแบบขึ้นยอดสุด-ลงสุด เดินขึ้นลงก็ประมาณเขา 3 ลูก ส่วนจุดพักแค้มป์นั้นเป็นจุดเดียวกับจุดชมวิวเลย พักบนยอดดอยเลโจ๊ะ (ดอยหัวโล้น) แต่ความสวยงามของวิวนั้นโคตรคุ้มค่าเหนื่อยมากๆ เลยแม่จ๋าาาาาDAY-4 | จากจุดพักแค้มป์ดอยเลโจ๊ะ - กลับเข้าหมู่บ้าน ใช้เวลาประมาณเกือบ 3-4 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 3 กิโลครึ่ง เป็นการเดินลงแบบไต่เขาลงเกือบตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะครึ่งทางช่วงแรกเส้นทางลงเขาอย่างชัน ต้องไต่เชือกลงเขาทั้งหมดประมาณ 3 จุด ถือว่าพีคสุดๆ โหดร้ายแบบสุดๆ ต่อด้วยการเดินเท้าลงเขาแบบทางราบชันยาวๆ จนถึงทางออก เส้นทางขากลับจะเป็นคนละเส้นทางกับตอนเดินเท้าไปดอยปุยหลวงนะ
มาเริ่มออกทริปกันเลยดีกว่าเนอะ! วันที่ 9 - 10 ธันวาคม 2563
--------------------------------------------
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 >> กลุ่มเราไปกัน 11 คน มีผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 8 คน เดินทางจาก กทม. - ตาก - เถิน - ฮอด - แม่สะเรียง
Clik here to view.

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
>> ถึงแม่สะเรียง ประมาณ 8 โมงกว่า แวะกินข้าวเช้าและมุ่งหน้าต่อเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เพื่อเตรียมตัวและจัดเตรียมสัมภาระสำหรับเดินป่ากันที่ปั้ม ปตท.
Clik here to view.

ข้าวเช้ามื้อแรกของพวกเรา ในหมู่บ้านแม่สะเรียง
>> จัดการสัมภาระเสร็จก็ประมาณเที่ยงเกือบบ่ายโมงได้ โดยเราจะต้องเปลี่ยนถ่ายสัมภาระขึ้นรถกระบะแทน สำหรับเดินทางต่อไปยังจุดเริ่มเดิน ณ บ้านห้วยฮี้ เพื่อออกเดินเท้าขึ้นแค้มป์ปุยหลวง จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเดินทางไปถึงชุมชนบ้านห้วยฮี้ รวมระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง
Clik here to view.

แวะจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าชุมชนคนละ 30 บาท
Clik here to view.

Clik here to view.

ห้ามพลาดนะกาแฟดริป บ้านห้วยฮี้ แก้วละ 30 บาท
Clik here to view.

Clik here to view.

ระหว่างจัดเตรียมสัมภาระ กินข้าวมื้อบ่ายๆ ก่อนเริ่มออกเดิน
Clik here to view.

จุดสตาร์ท >> เส้นทางที่ใช้สำหรับเริ่มออกเดินเท้า
>> การเดินเท้าสำหรับวันแรก หัวหน้าแก๊งบอกว่าเป็นการซ้อมขา เดินเบาๆ สบายๆ ชิลๆ ใช้เวลในการเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 2 กิโล (ชิลเปล่าไม่รู้นะต้องลองไปเดินกันเอง)
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

>> เดินมาถึงที่ตั้งแค้มป์กันแบบไม่รู้ตัว เพราะไม่คิดว่าจะถึงเร็วขนาดนี้ ก็ว่าทำไมขนาดบ่าย 2 บ่าย 3 ยังให้เดินขึ้นได้ ก็ไม่พูดพรำทำเพลงใดๆ รีบช่วยกันตั้งแค้มป์ ก่อนออกไปจุดชมวิวบนยอดดอยปุยหลวงเพื่อเฝ้ารอดูพระอาทิตย์ตกกันจร้า
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

จุดตั้งแค้มป์แรก ณ ดอยปุยหลวง
>> พวกเราช่วยกันตั้งแค้มป์เสร็จประมาณ 4 โมงเกือบ 5 โมงได้ ก็เริ่มออกไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกบนยอดดอยปุยหลวง ระยะทางจากจุดพักแค้มป์ไปยอด ประมาณ 500 เมตรได้ เส้นทางเดินสบายๆ ชิลๆ
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

ดอกเอ็นอ้า (มีให้เห็นแค่ดอยปุยหลวง)
"ดอยปุยหลวง" ตั้งอยู่ที่ บ้านห้วยฮี้ ตำบลห้วยปูลิง อำเภอเมือง เป็นดอยที่สูงที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ความสูงประมาณ 1,700 เมตร (เขาว่ากันเช่นนั้น) บนยอดดอยมีลักษณะเป็นภูเขาหัวโลนไม่มีต้นไม้ปกคลุม ระยะทางในการเดินขึ้นยอดไม่ไกลจากจุดพักแค้มป์ เดินสบายๆ ไม่โหดมาก ระยะทางประมาณ 500 เมตร และถ้าใครอยากจะมาสัมผัสกับทะเลหมอกแนะนำให้มาช่วงปลายฝนต้นหนาวช่วงเดือนตุลาคม (อย่าลืมพวกดวงมาด้วย) ซึ่งเป็นช่วงที่ทุ่งหญ้ากำลังเขียวขจี แต่ถ้าชอบแบบทุ่งหญ้าสีทองแนะนำให้มาช่วงหน้าหนาว
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

>> ช่วงตอนกลางคืนที่ปุยหลวงดาวสวยมากๆ พวกเรานั่งกินข้าวและนั่งดูดาวกันไป แถมได้สัมผัสกับบรรยากาศเย็นๆ โคตรฟินเลยเพื่อน นั่งจิบน้ำชาอุ่นๆ นั่งเมากับเพื่อนๆ ไม่ใช่ๆ นั่งเมาส์กับเพื่อนในกลุ่มกันแบบสนุกสนามแต่ไม่ได้เสียงดังรบกวนใครนะ เพราะวันที่ไปรวมแล้วมีแค่ 3 กรุ๊ป และตั้งแค้มป์กันอยู่ห่างๆ แต่มีอีกกลุ่มไปตั้งแค้มป์อีกฝั่งของดอย >> แค้มป์กรุ๊ปนี้ไม่ธรรมดานะมีบริการถุงกรองน้ำไว้ให้ที่แค้มป์กลางด้วย ให้ลูกทริปสามารถนำขวดน้ำเปล่ามาไว้เติมน้ำกันได้ (เหมาะสำหรับพวกขี้เกียจแบกน้ำกินขึ้นดอยจริงๆ)
Clik here to view.

Clik here to view.

อาหารมื้อเย็นของพวกเรา (อิ่มอร่อยเพราะปลาตะเพียรทำให้กินแบบจัดเต็ม)
>> นอนดึกได้ เมาได้นิดหน่อย เพราะพรุ่งนี้ก่อนออกเดินเท้าไปดอยสะเงาะ พวกเราจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยปุยหลวงกันต่อ
ออกพิชิต "ดอยสะเงาะ"
ออกพิชิตดอยสะเงาะวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 --------------------------------------------
>> เช้าของวันที่ 2 วันที่ต้องเก็บเต็นท์และเดินเท้าต่อเพื่อไป "ดอยสะเงาะ" แต่ในช่วงเช้ามืดของวันเราลุกกันตอนตี 5 เพื่อขึ้นไปจิบกาแฟร้อนๆ กับการสัมผัสบรรยากาศเย็นๆ บนยอดปุยหลวง เพื่อเฝ้ารอถ่ายรูปและชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ทริปนี้กินแห้วนะไม่เจอพระอาทิตย์ขึ้น แต่โชคไม่เข้าข้างเราเท่าไร ตามภาพจร้า พระอาทิตย์อยู่ไส.... เจอแต่หมอกหนาขาวโพลนเต็มดอยเลย แต่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร 555++ เพราะได้เห็นพระอาทิตย์ตกบนยอดนี้ไปละ
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

ดริปกาแฟกินแก้หนาวบนยอดดอยปุยหลวง
>> เราเริ่มออกเดินเท้ากันเกือบ 9 โมง โดยวันนี้ต้องเดินตามสันเขา ขึ้นเขา ลงหุบเขา เลาะสันเขา ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง (แล้วแต่กำลังขา) ระยะทางประมาณ 8 กิโลครึ่ง เพื่อเดินไปตั้งแค้มป์ที่ดอยสะเงาะ เส้นทางไม่ถึงกับโหดร้ายแต่ทำให้ร่างกายล้ามากๆ
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

เตรียมข้าวมื้อกลางวัน
>> เส้นทางที่เริ่มออกเดินเท้าคือใช้เส้นทางที่เดินขึ้นไปยอดปุยหลวง หรือจะเดินเลาะสันเขาก็ได้ แต่พวกเราเดินขึ้นยอดดอยปุยหลวงกัน รอบนี้ได้เห็นทะเลหมอกอยู่ไกล และวิวบนยอดดอยช่วงสายๆ คือสวยงามและอากาศดีมาก แนะนำเดินขึ้นแทนการเดินเลาะชันเขา
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

ไม่ผิดหวังใช่มะ! สวยป่ะละ
>> ไปๆ ได้เวลาเดินกันต่อ วันนี้ถึงเส้นทางการเดินเท้าจะไกลสุด แต่ถ้าได้เดินคุยกันไป เดินร้องเพลงกันไปกับชาวแก๊งนะ เดินเพลินลืมเหนื่อยเลย และวิวทิวทัศน์ระหว่างเส้นทางเดินคือบางจุดสวยแปลกตาดี เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางเดินเท้าที่ไม่ซ้ำกันสักวันเลย แต่ก็มีเส้นทางที่โหดอยู่ตอนช่วงของการไต่เขาลงมาเพื่อไปเดินเลาะชันเขาของเขาอีกลูกหนึ่ง ต้องระมัดระวังกันหน่อยเดินกันไปเป็นกลุ่มดีสุดเพราะต้องค่อยช่วยกัน และต้องมีคนนำทางและลูกหาบเดินปิดท้ายตามๆ กันไป มีเดินทิ้งระยะห่าง แต่กลุ่มเราก็ไม่ได้เดินทิ้งกัน (มีแอบเดินแซงกลุ่มอื่นๆ คริๆ )
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

>> ความสวยงามของวิว ระหว่างเส้นทางจากดอยปุยหลวง ไป ดอยสะเงาะ บรรยายไปมันก็เหนื่อยดูรูปแทนละกันเนอะ (รูปเยอะหน่อยนะ)
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

จุดนี้ดูว่าไม่โหด แต่ถือว่าโหดในระดับหนึ่งเลยสำหรับการลงเขามันชันใช้ได้เลย
Clik here to view.

นี่คือวิวตอนอยู่บนเขาอีกลูกที่กำลังไต่เขาลงมาเพื่อไป ณ จุดนั้น
Clik here to view.

Clik here to view.

มื้อเที่ยงของวันที่ 2 กินให้ง่ายอยู่ให้ง่าย
>> ใกล้จะถึงแค้มป์ หัวหน้าแก๊งชวนเดินเลยขึ้นไปดูจุดชมวิวอีกหนึ่งจุด (ไปกันไม่ครบแก๊ง) ก่อนเดินย้อนกลับมายังจุดตั้งแค้มป์ ซึ่งจุดชมวิวนี้กลุ่มอื่นๆ ไม่ได้เดินมากันเพราะมันไม่ใช่จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

บอกเลยว่าตอนนั้นคือร้อนถ่ายรูปให้เพื่อนๆ เสร็จก็หมดแรง มีรูปตะเองเพราะแรงกระตุ้นของเพื่อน 55++
>> หลังจากที่ชมวิวถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อย และคงไม่ย้อนกลับมากันตรงจุดนี้อีกแล้ว จุดพีคที่สุดคือหัวหน้าแก๊งไม่พาเดินย้อนกลับไปเพราะบอกว่าไกลเสียเวลา แต่พาพวกเราเดินมาอีกเส้นหนึ่ง เพราะบอกว่าระยะทางสั้นกว่าและถึงเร็วกว่าแค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึง เดินมาสุดทาง! ร้องว้าวววเลยจร้าา พาเรามาไต่ลงเขาเล่นกันว่างั้นเถอะ ความราดชันประมาณ 80 % ได้ (โดนซิจ๊ะ บ่นกันถึงตีนเขา) >> จุดพักแค้มป์ที่นี่เป็นพื้นที่ราบกว้างที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ ดีตรงที่ต้นไม้จะช่วยกันน้ำค้างให้ได้ในระดับหนึ่ง จุดพักแค้มป์แรกเป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่มีต้นคลุมเต็นท์ก็จะโดนน้ำค้างเต็มๆ ตื่นเช้ามาเต็นท์เปียกกันไป
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

>> เส้นทางเดินเท้าไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น น่าจะประมาณ 2 กิโลได้ ซึ่งเป็นจุดชมวิวเดียวกัน เส้นทางมีไต่ระดับขึ้นยอดแต่ไม่ถึงกับโหด แต่พื้นที่ตรงจุดชมวิวจะค่อยข้างแคบและเป็นหน้าผาสูง ดอยสะเงาะจุดชมวิวสวยสู้ดอยปุยไม่ได้ เราเลยเลือกขึ้นไปดูแค่พระอาทิตย์ตกอย่างเดียว ไม่ได้ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเพราะเก็บแรงขาไว้เดินต่อวันที่ 3 (แต่มีเพื่อนๆ ในกลุ่มบ้างส่วนที่ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น)
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

นั่งชิลรอชมพระอาทิตย์ตกบนยอดดอยสะเงาะ
"ดอยสะเงาะ" บนยอดดอยมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน ที่มีหินก้อนใหญ่ 2 ก้อน ตั้งอยู่ริมหน้าผาทั้ง 2 ข้าง มีพื้นที่แคบๆ ไม่กว้างมาก บนยอดสามารถมองเห็นทิวเขาหลายยอดที่ทอดต่อเรียงรายกันออกไป สามารถมองเห็นสันหม้อข้าวนึ่งได้ ดูทิวเขามุมสูงได้แต่ไม่สามารถเดินเชื่อมต่อไปถึงกันกับเขาลูกอื่นๆ ได้ และสามารถดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ ระยะทางจากแค้มป์ไปยอดดอยประมาณ 700 เมตร เป็นเส้นทางราบประมาณ 200 - 300 เมตรได้ ต่อจากนั้นเดินเลาะเขาไต่ระดับความชันขึ้นยอดกันยาวๆ ไป
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

ไปต่อรอไม่ได้แล้วนะ "ดอยเลโจ๊ะ"
ขาไหวใจไหวก็ไปต่อได้ วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563
--------------------------------------------
>> วันที่ 3 ของทริปกับการเดินแบบขึ้นชัน - ลงชัน แถมไต่เขาให้ด้วย หัวหน้าแก๊งบอกว่าเดินแบบกรุบกริบๆ พอประมาณ แต่จากที่เดินกันมามันไม่ได้กรุบกริบๆ เลยนะ มันโหดสาดเหนื่อยสาดๆ เลยนะ ถ้าแบกเป้ด้วยใครสายสไลด์ก็เตรียมตัวเตรียมตูดสำหรับสไลด์ลงเขาให้พร้อม มีเป็นบางช่วงบางตอน หรือถ้าอยากจะคลานก็ทำได้บ้างเป็นบางครั้งบางคา ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 4 กิโลครึ่ง (ลูกหาบบอกมา)
Clik here to view.

นี่คือผู้นำทางของเรา "หัวหน้าหมู่"
>> หลังจากที่เก็บสัมภาระเสร็จ ออกเดินไปยังดอยเลโจ๊ะ ประมาณ 9 โมง ซึ่งยอดดอยเลโจ๊ะจะไม่มีแหล่งน้ำพวกเราทุกคนต้องเตรียมน้ำดื่มของตัวเองขึ้นไปเองด้วยบางส่วน (แบกกันเอง) วันที่ 3 แวะกินข้าวกันตรงหุบเขาซึ่งมีลำธาร จุดนี้ละที่ทุกคนจะสามารถเติมน้ำใส่ขวดเก็บเอาไว้ไปกินบนยอดดอยเลโจ๊ะได้
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

ส่วนคนนี้ "หัวหน้าแก๊ง"
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

ความสวยของธรรมชาตในป่าระหว่างทางเดิน
>> ความสุขของการออกทริปคือช่วงที่ได้นั่งพักขากินข้าวกลางวันเท่านั้นละ เพราะวันนี้เดินขึ้นโหดจริงๆ กินข้าวเสร็จก็ต้องเดินเลาะชันเขาไต่ระดับขึ้นลงๆ ยอดเขาไม่รู้กี่ลูกกว่าจะถึงยอดดอยเลโจ๊ะ และที่นี่คือจุดพักกินข้าวกลางวันเป็นหุบเขาที่มีลำธาร พักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนที่จะได้สัมผัสความโหด #ขอพักเติมพลังงานแพร๊บบ
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

จุดเติมน้ำที่จะนำไปใช้กินใช้ทำอาหารกันบนยอดดอยเลโจ๊ะ
>> ความสุขได้หมดลงแล้ว ไป ไปลุยกับความเหนื่อยต่อ... ดอยเลโจ๊ะ พีคสุดก็ช่วงก่อนใกล้จะถึงจุดพักแค้มป์บนยอดดอยละ ต้องร้องโอ้โห! กันเลยทีเดียวอะ เพราะต้องปีนไต่ความชันขึ้นไปกันการที่ต้องพาตัวเองขึ้นไปก็หนักหนาแล้ว นี่ต้องแบกเป้ขึ้นไปด้วยไม่มีคำจะบรรยายจริงๆ อะไรที่ดึงได้ เกาะได้ ยึดได้ จับไว้หมด ที่สุดแต่ยังไม่สุดของแจ้ เพราะวันลงเขาวันที่ 4 สุดกว่าจร้าา
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

ได้ครึ่งทางละนะ
>> ขึ้นสุด ลงสุด จุกๆ กันทุกลูก ทุกคนไปเลยจร้าาาา
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

>> ก่อนจะขึ้นมาถึงจุดนี่เรียกได้ว่าพีดสุดๆ อีกหนึ่งจุดเลย กว่าจะพาตัวเองและเป้ดึงหญ้า ดึงต้นไม้ ไต่เขาขึ้นมาได้ แทบตาย เป็นจุดสุดท้ายของความโหด และเป็นจุดที่ใกล้จะถึงยอดแล้ว ซึ่งมุมนี้ถ่ายจากบนยอดดอยเลโจ๊ะลงมา
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

"ดอยเลโจ๊ะ" เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดของเทือกเขานี้ มีลักษณะเป็นเขาหัวโล้นบนยอดเขาเป็นทั้งจุดตั้งแค้มป์และจุดชมวิวพระอาทิตย์และพระอาทิตย์ตกได้ในจุดเดียวกัน ส่วนวิวทิวทัศน์นั้นเป็นวิวสันเขาที่ทอดยาวสลับทับซ้อนตามระดับความสูงของภูเขาที่แตกต่างกันไป ส่วนทางด้านล่างของเขาจะมีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังยอดเขาอื่นๆ ได้ ด้านซ้ายสุดจะเป็นยอดปีลอโจ๊ะ ส่วนยอดเลโจ๊ะ จะอยู่ตรงกลาง รองวัดความสูงจากนาฬิกาที่ใส่แล้ววัดความสูงของยอดได้ 1,590 เมตร และมียอดเลอปอเฮอ อยู่ด้านขวาสุด
Clik here to view.

>> บนยอดดอยมีพื้นที่จำกัดในการกลางเต็นท์นอน สามารถตั้งแค้มป์บนยอดดอยได้ประมาณ 2 กรุ๊ปใหญ่ วันนั้นมีไปทั้งหมด 3 กรุ๊ป อีกกรุ๊ปต้องเดินลงไปตั้งแค้มป์ด้านล่าง ด้วยที่บนยอดเป็นเขาหัวโล้นไม่สามารถนอนเปลได้เด้อ ในคืนที่ 3 จึงมีนอนปลาทูครึ่งเข่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนอนเต็นท์กันจร้าา ขึ้นมาถึงยอดประมาณบ่าย 2 กว่า ก็กำลังร้อนได้ที่เลยเพราะบนยอดไม่มีต้นไม้ใหญ่
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

วิวหลักล้าน กับแดดร้อนๆ ตอนบ่าย 2
Clik here to view.

Clik here to view.

>> ดอยเลโจ๊ะ สวยจบในจุดเดียว เป็นจุดตั้งแค้มป์ และจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา โคตรชิลเลยอะไม่เคยมีทริปไหนที่สามารถนั่งกินข้าวเย็นและข้าวเช้าพร้อมกับการนั่งดูพระอาทิตย์ตกและขึ้นไปพร้อมกันได้เลย
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

>> ส่วนในช่วงค่ำคืนนั้นไม่ต้องพูดถึงบรรยากาศ พวกเรานอนปลาทูกันล้อมวงกันนอนดูดาวโคตรโมแมนติกมาก ยิ่งถ้าเป็นคืนเดือนมืดด้วยละก็ โอ้ย! รับรองเจอช้างเผือกในป่าแน่นอน >> อากาศช่วงกลางคืนไม่หนาวมาก เย็นๆ แบบกำลังดี (สำหรับเรานะ) แต่คนอื่นๆ คือหนาว ลมพัดไม่แรงเบาๆ สบายๆ แต่ช่วงกลางดึกกำลังลมพัดแรงกระทบเข้ากับฟลายชีทชายเต็นท์นอนฟังเสียงผ้าใบกระพือกันไปจร้าาทั้งคืน แต่ถือว่ากำลังลมอ่อนกว่าที่อื่นที่เคยไปนอนบนยอดมา และถึงแม้กลางดึกอากาศจะเริ่มเย็นลงแต่ไม่ถึงขั้นนอนหนาวทั้งคืนนะ ที่สำคัญน้ำค้างแรงมาก
Clik here to view.

Clik here to view.

ซาโยนาระ "ดอยเลโจ๊ะ"
เส้นทางสายโหด
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563
--------------------------------------------
>> วันที่ 4 วันสุดท้ายของทริปเป็นการตื่นตอนเช้าเพื่อมาชมวิวสวยๆ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นได้สบายสุดกว่าทุกดอย เพราะวิวอยู่ ณ เบื้องหน้าที่นอนกันเลยจร้าา เป็นช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนกันตามอัธยาศัยจริงๆ เช้าของวันนี้พวกเราเริ่มออกเดินเท้ากันประมาณ 9 โมง แต่ตอนนี้มาดูแสงเช้ากันเถอะ
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

>> ปิดทริปนี้กับความโคตรพิเศษของเส้นทางการเดินลงเขา กับระยะทางประมาณ 3 กิโลครึ่ง ซึ่งจะเป็นการเดินลงเขาทางชันเกือบตลอดครึ่งทาง ด้วยการไต่เขาที่โคตรหวาดเสียว ต้องดึงเชือกโรยตัวลงมา ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 ช่วงที่ต้องดึงเชือก ดึงหญ้า มีอะไรให้จับให้ดึงจับหมด เพราะมันชัน มันโคตรชัน มันชันจริงๆ แถมพื้นเขาก็เป็นดินร่วน ปนหิน ปนทราย ปนซากใบไม้ลื่นดีซะมัดเจ้าพระคุณเอ๋ย นับถือคนนำทางลูกหาบของแต่ละทีมต้องแบบมืออาชีพนะถึงจะเอาอยู่ ไม่งั้นคือลูกทริปแย่แน่ ตั้งแต่เดินป่ายังไม่เคยเดินลงเขาไต่เขาได้โหดสาดดดขนาดนี้มาก่อนเลย แค่ลำพังเอาตัวเองลงมาก็ว่าแย่แล้ว โหดมากแล้วกับเส้นทางลงเขาเส้นนี้ แถมต้องแบกเป้แบกเต็นท์ลงมาด้วยที่สุดของแจ้มากๆ ผ่านเส้นทางอันโหดร้ายนี้มาได้ไปเดินป่าที่อื่นคงจะชิลน่าดู 555++
ปล. ไม่มีรูปประกอบไม่สามารถถ่ายรูปได้จริงๆ ดูรูปวิวแทนละกันนะ
Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

Clik here to view.

>> เดินลงไปถึงถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงประมาณ 11 โมงกว่า นั่งรถกระบะไปยังบ้านของพี่คนขับรถที่ทางพวกเราติดต่อไว้เพื่ออาบน้ำ กินข้าวมื้อเที่ยงแบบอาหารพื้นบ้านกันที่นั้นเลย ก่อนเตรียมตัวเดินทางกลับกรุง
Clik here to view.

::ค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริป::ค่าทริปคนละ 5,500 บาท - ค่าอาหาร 10 มื้อ - ค่ารถตู้ปรับอากาศ VIP - ค่ารถกระบะรับส่งไป-กลับ - ค่าคนนำทาง - ค่าลูกหาบ (แบกกองกลาง อาหาร, อุปกรณ์ประกอบอาหาร, อุปกรณ์ตั้งแค้มป์กลาง) - ค่าเข้าพื้นที่ (คนละ 30 บาท) - ค่าประกันอุบัติเหตุ
::ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ไม่รวมค่าทริป):: - ค่าใช้จ่ายส่วนตัว - ค่าจ้างลูกหาบแบกสัมภาระส่วนตัว (กิโลละ 120 บาท) - ค่าทริบให้กับลูกหาบ (แล้วแต่น้ำใจ)
::สิ่งที่ต้องเตรียมไปเอง:: - เต้นท์ หรือหาเช่ากับทางคนจัด 200 บาท - ถุงนอน หรือหาเช่ากับทางคนจัด 100 บาท - เสื้อผ้าเดินป่า ชุดลำลอง ของใช้ส่วนตัว (ของบางฝากไว้ในรถตู้ได้ป - อุปกรณ์กันแดด อุปกรณ์กันหนาว - รองเท้าสำหรับเดินป่า รองเท้าแตะ - จาน ช้อน แก้วน้ำส่วนตัว ไฟฉาย - ยากันยุง ยารักษาโรค
::สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปเที่ยว:: 1. เดินป่าฤดูฝน เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวทุกอย่างต้องใส่ถุงพลาสติกรัดหนังยางให้แน่นเพื่อกันน้ำ 2. เดินป่าฤดูฝน การเดินขึ้นลงดอยอาจจะเจอฝนเป็นบางช่วงหรือไม่ก็อาจเจอฝนตกทั้งวันทั้งคืน 3. เดินป่าฤดูฝน เสื้อผ้าควรเป็นเสื้อผ้าที่แห้งง่าย และรองเท้าที่ใช้เดินควรมีดอกยางสำหรับกันลื่นได้ 4. การจ้างลูกหาบแบกสัมภาระให้ ควรมีเป้ใบเล็กระหว่างเดินไว้ใส่ข้าวกลางวันและน้ำดื่มระหว่างทาง รวมทั้งของใช้ส่วนตัว
::ช่องทางการจองทริป:: เพจ : Platapien ปลาตะเพียร เบอร์ติดต่อ : 0991242002 ID line : cys12-2522
By : Namee Be Bear
#เที่ยวให้มีความสุขและสนุกกับสิ่งที่ทำ #เมื่อไรที่เริ่มออกเดินเมื่อนั้นเราก็จะเริ่มเหนื่อย!
ขออภัยหากมีข้อมูลส่วนใดผิดพลาดไป Fanpage : www.facebook.com/KanXengStudio