
ขึ้นภู(ทับเบิก) ดูหมอกเบาๆ ไปเขา(ค้อ) ท้าลม ชมวิวสีเขียวตลอดทาง
เขาค้อ เพชรบูรณ์ จ.
Pai Kun ณ .....ขึ้นภู(ทับเบิก) ดูหมอกเบาๆ ไปเขา(ค้อ) ท้าลม ชมวิวสีเขียวตลอดทาง
ถ้าพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบูรณ์ ใครหลายคนก็จะนึกถึง “เขาค้อ” เป็นอันดับแรก และในระยะหลังสถานที่ที่ได้รับการพูดถึงและปักหมุดในการเดินทางท่องเที่ยวก็คงต้องเป็น “ภูทับเบิก” ( ฟังดูแล้วอินเตอร์เหมือนกันเนอะ รู้สึกคำลงท้ายมันพ้องเสียง >> เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมมากางเต็นท์ กินลม ชมหมอกกัน
ยอมรับว่าเป็นคนเพชรบูรณ์แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เที่ยวในจังหวัดบ้านเกิดบ่อยเท่าไหร่ ต้องมีวาระหรือโอกาสสำคัญถึงจะได้เที่ยววพ่วงไปด้วย
สำหรับทริปนี้ ใช้เวลา 1 คืน 2 วัน ระหว่างวันที่ 3-4 กันยายน 2559 ผู้ร่วมทริปทั้งหมด 6 คน จุดประสงค์หลักของพวกเราคือ การเดินทางไปเยี่ยมหลาน ลูกชายของเพื่อนร่วมงาน และจุดประสงค์รองที่ดูเหมือนจุดประสงค์หลัก คือ วางแผนเที่ยวกัน (สิจ๊ะ)
พวกเราเดินทางกันด้วยรถส่วนตัว ใช้เส้นมอเตอร์เวย์เป็นหลัก ออกเดินทางจากถนนเส้นศรีนครินทร์ประมาณ 04.30 น. เข้าสู่เส้น บางนา – ตราด เลยโลตัส ม.ราม 2 ชิดซ้ายเข้าสู้เส้นมอเตอร์ช่องทางไปบางประอิน จากนั้นสามารถขับตรงได้ตลอดจนสุดทางมอเตอร์เวย์เข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็ตรงและตรง เลือกเบี่ยงซ้ายเข้าตัวเมืองจังหวัดสระบุรี (แต่ถ้าสระบุรีเลี้ยวขวา แม่นแล้วไปโล้ด >> ประตูสู่ภาคอีสาน จังหวัดนครราชสีมา หรือ โคราช ต่อไปยังจังหวัดอื่นๆ ) เดินทางกันด้วยรถยนต์ 2 คัน โดยจุดนัดพบแถวปั๊มจังหวัดสระบุรี
เนื่องจากพวกเราส่วนใหญ่เป็นคนเพชรบูรณ์การเดินทางค่อนข้างชิล แวะปั๊มเข้าห้องน้ำ กินข้าว กินหนม จิบกาแฟแก้ง่วงกันไปเรื่อยๆ และยังคงเดินทางต่อเนื่องไปยังทางหลวงหมายเลข 21 (สระบุรี – หล่มสัก) ตรงไปอย่างไม่หยุดยั้งเข้าสู่ อ.ศรีเทพ และต่อด้วย อ.วิเชียรบุรี ประมาณ 8.00 น. เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องแวะซะหน่อย เพื่อให้เพื่อนๆ ต่างถิ่น ได้ลองลิ้มรสไก่ย่างวิเชียร ที่อยู่ใน อ.วิเชียรบุรี จริงๆ ซะที ด้วยความที่ยังค่อนข้างเช้าและทุกคนยังไม่ค่อยหิวเพราะกินอะไรกันมาตลอดทางแล้ว เลยลงมติกันว่าจะซื้อไปกินพร้อมกันที่ปลายทาง สิ่งที่ทุกคนรีเควส คือ เนื้อ ไส้ ตับ กึ๋น (สาแก่ใจข้ายิ่งนัก 555) มติตรงกัน ชอบเหมือนกัน กินได้ทุกอย่างเหมือนกัน (ปรบมือรัวๆๆๆ) เมื่อซื้อกันเรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางต่อกันเลยจ้า ^^

ช่วงเดือนกันยายนเป็นช่วงปลายฝน ตลอดสองข้างทางจึงเต็มไปด้วยทุ่งนาและต้นไม้สีเขียวสลับกันให้เห็นได้ตลอดทาง รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่ง เหมือนได้หลุดออกจากความวุ่นวาย ต่างคนต่างหยิบกล้องและมือถือขึ้นมาแชะรัวๆ แต่ด้วยความที่รถคันของเราชิลและแวะกันตลอดทาง พบปะญาติพี่น้อง เล็กน้อย ตามสไตล์เมื่อมาถึงบ้านเกิด ทำให้เพื่อนร่วมทางอีกคันนำหน้าไปจนถึงก่อน เลยไม่ได้จอดถ่ายรูปกันเป็นกิจจะลักษณะ ภาพที่ได้เลยดูสั่นๆ ไปบ้าง


ประมาณ 10.30 น. ก็ถึงจุดหมาย ต.บ้านเนิน อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นการมาของจุดประสงค์แรกของพวกเรา ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี มีอาหารฟรีให้กิน 555 มีลูกชิ้นปิ้งอุ่นๆ จากเตา และ อีกมากมาย รวมถึง ไก่ย่างวิเชียรบุรี ที่ที่พวกเราแวะซื้อมาด้วย อิ่มจนต้องขอบคุณแล้วขอบคุณอีกเลยจ้า


อยู่เล่นหยอกล้อและมอบของฝากให้หลานชายตัวน้อยกันอยู่สักพัก ก็ได้ความว่าจุดที่เราอยู่ใกล้กับทางขึ้น “ภูทับเบิก” จึงรวมตัวกันที่รถอีกคันซึ่งจะสามารถขึ้นภูได้ดีกว่า เลยขอตัวขึ้นไปชมหมอกกันซะหน่อย ตอนนั้นเป็นช่วงเที่ยงๆ แต่แดดไม่ร้อน เพราะสภาพอากาศครึ้มๆ สลับกับฝนปรอยๆ ตลอดทั้งวัน
ขับรถออกมาเล็กน้อยเจอร้าน 7-11 หน้าตาแนววินเทจแบบนี้ ก็เลี้ยวซ้ายได้เลย จากนั้นก็ไปตามป้าย หรือ ใครจะเปิด GPS ได้ตามสะดวกเลยจ้า เจอสี่แยกไฟแดงเลี้ยวขวา



ตลอดทางทุกคนตื่นเต้นกับบรรยากาศ และเส้นทางอันคดโค้ง แต่ไม่ต้องกลัวว่าโค้งขนาดนี้ จะไม่มีจุดให้ถ่ายรูป ประมาณครึ่งทางเลยโค้งเลข 3 สังเกตด้านซ้ายมือจะมีศาลา และมีพื้นที่ให้จอดรถได้ ดับเครื่องรถสักพักแล้วลงไปถ่ายรูป ชมวิวกันเลย
จากจุดนี้จะเห็นภูเขาสีเขียวรายล้อมสุดสายตา นี่สินะพาโนราม่าของจริง และสามารถมองเห็นโค้งเลข 3 ได้ค่อนข้างชัดเจน



ฟินกับวิวตรงหน้าได้อยู่สักพัก ก็นึกได้ว่าต้องไปต่อ เพราเรายังไม่ถึงจุดหมายปลายทางของภูทับเบิก ระหว่างทางจะเห็นว่ามีหลายที่ได้มีการรื้อถอนไปบ้างแล้ว เมื่อเจอ 3 แยก มองไปด้านหน้าจะเห็นอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จากนั้นให้เลี้ยวขวาเพื่อไปภูทับเบิก มาถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวประมาณบ่ายกว่าๆ เปิดประตูรถไม่รอช้า พาหน้าไปสัมผัสอากาศเย็น และไปยังจุดชมวิว บริเวณนี้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของ จ.เพชรบูรณ์ ความสูง 1,768 เมตรจากระดับน้ำทะเล งานป้ายก็มาเก็บไว้เป็นหลักฐานซะหน่อยว่ามาถึงแล้ว


ช่วงนั้นจะมีฝนปรอยๆ และลมตลอด หมอกที่เห็นก็จะไม่หนาหนุ่มสีขาวดุจปุยเมฆ แต่จะฟุ้งๆ จางๆ เป็นละอองเย็นๆ แทน ถ่ายรูปได้ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ บริเวณจุดกางเต็นท์จะมีต้นพญาเสือโคร่งที่ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูผลิดอก แต่ก็ได้อารมณ์สไตล์ Winter เกาหลีไปอีกแบบ


ระหว่างทางกลับจะมีร้านกาแฟเล็กๆ น่ารักๆ ราคาไม่แพง ชื่อว่า SMALLVILLE COFFEE จุดสังเกตจะอยู่ตรงโค้ง มีต้นตะขบอยู่ด้านหน้า ทางเข้าเป็นรั้วไม้เล็กๆ เมื่อขึ้นมาแล้ว มีหรือจะลงง่ายๆ ก็ต้องแวะกันซะหน่อย เดินเข้าไปด้านใน มีมุมให้เลือกนั่งหลายมุม ไม่ได้เล็กเหมือนชื่อ ราคาก็อยู่ที่ประมาณแก้วละ 40 บาท ยกเว้นน้ำผึ้งมะนาวโซตา 55 บาท และมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปได้อีกด้วย




กลับมารวมตัวที่บ้านหลานชายตัวน้อยประมาณ 14.30 น. เพื่อมาร่ำลาพ่อแม่เพื่อนและแยกย้ายไปที่พัก แต่ด้วยความมีน้ำใจของคนต่างจังหวัด แม่ก็ได้ชักชวนให้เราอยู่ต่อก่อนและตระเตรียมอาหารออกมาให้กินก่อนกลับ อาหารพื้นบ้าน แกงเห็ดกับไก่ยางวิเชียร แซ่บอีหลีเด้อ และก็ถึงเวลาที่ต้องขอตัวลากลับจริงๆ และไปต่อยังจุดประสงค์ที่สอง ชมหมอกที่เขาค้อ >>>


ถึงที่พักเขาค้อทะเลหมอกประมาณ 16.30 น. เก็บข้าวของเรียบร้อยก็เตรียมตัวไปยังสถานีต่อไป “ทุ่งกังหันลม” บ้านเพชรดำ ใช้เวลาขับรถประมาณ 30 นาที มองจากระยะไกลจะเห็นกังหันลมจำนวนมากตั้งเรียงรายบนยอดเขา และมีนักท่องเที่ยวจอดพักรถถ่ายรูปกันจำนวนมาก สำหรับพวกเราขอให้ไปถึงจุดชมวิวก่อน จากระยะทางที่กำลังเดินทางไป จะมองเห็นกลุ่มต้นส้นสูงๆ คือ จุดหมายของพวกเรา เมื่อมาถึงจะมีเจ้าหน้าที่คอยแจ้งจุดสำหรับจอดรถด้านซ้าย – ขวา เพราไม่สามารถนำรถเข้าไปด้านในหลังแผงกั้นได้ (แต่สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปได้นะ) ต้นกังหันจากที่เราเห็นระยะไกล กับที่เห็นตรงหน้า มันอลังการมาก และสามารถเลือกมุมถ่ายรูปกันได้เลย ส่วนมุมยอดฮิตก็จะเป็นด้านขวามือ เป็นทุ่งข้าวไร่ ซึ่งตอนนี้กำลังเขียวขจี สามารถเข้าไปในทุ่งได้ (มีค่าบำรุงคนละ 10 บาท)



ขออนุญาตเจ้าของรถนะคะ รถน่ารักมาก จุดจอดได้มุมพอดี ^^

เดินสำรวจไปเรื่อยๆ จะมีทางเดินเป็นเนินระหว่างทุ่งข้าวไร่ ส่วนนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย พวกเราเลยเลือกถ่ายจุดนี้กันก่อน แต่ด้วยความที่เพลิดเพลินกับจุดนี้อยู่นาน บวกกับอากาศดีๆ เลยอยู่จนค่ำ ไม่ได้แว๊ปไปยังจุดอื่นๆ ซึ่งนอกจากทุ่งข้าวไร่ อีกฝั่งก็จะมีชิงช้าชาวเขา และ ฟอร์มูล่าม้ง ที่มองเห็นไกลๆ ถัดจากแปลงสตอเบอรี่อีกด้วย สำหลับสตอเบอรี่ ช่วงนี้จะเป็นการเตรียมแปลงและลงต้นกล้า คงได้เห็นผลแดงๆ และเก็บเกี่ยวในฤดูท่องเที่ยวหน้าหนาวพอดี


และก็เนื่องด้วยกลับมาจังหวัดเพชรบูรณ์ ทั้งที เพื่อนๆ ก็มีการนัดเจอเพื่อนเก่าที่นี่ด้วย พร้อมกับหิ้วผักไฮโดรโปนิกส์ มาฝาก เลยได้ทราบว่าเพื่อนคนนี้ทำสวนผักอยู่ ทักทายพูดคุยกันได้สักพักจึงนัดแนะกันไปเยี่ยมชมสวนผักในวันถัดไป
คืนนี้ (วันที่ 3 ก.ย.2559) ฝนตกค่อนข้างแรง มีความคาดหวังสูงมากว่าพรุ่งนี้จะได้เจอทะเลหมอก เพราะได้ติดตามเพจต่างๆ ที่เพื่อนๆ มาเที่ยวกัน และแชร์เรื่องราวให้เห็นเป็นระยะ พวกเราเลือกที่พักที่ “เขาค้อทะเลหมอก” เพราะได้รับการแนะนำจากเพื่อนๆ ที่เคยมาว่าเป็นจุดที่เห็นทะเลหมอกได้ชัดเจน และราคาเหมาะกับการเดินทางเป็นหมู่คณะ
เช้าวันใหม่ (วันที่ 4 ก.ย.2559) ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก รีบโผล่หน้าออกไปนอกประตูห้อง เฝ้ารอและรอหมอกปุยเมฆของฉานนนนอยู่หนายยยยยย เสียดายระดับหนึ่ง แต่ไม่เป็นไรโอกาสหน้ายังมี ละสายตาจากตรงนั้นแล้วอาบน้ำเตรียมตัวไปกินอาหารเช้ากัน แต่ธรรมชาติก็ไม่ได้ทำร้ายเรา ฟ้าหลังฝนงดงามเสมอ ความเขียวสดชื่อของต้นไม้ใบหญ้านานาชนิด กับสภาพภูมิประเทศตรงหน้า สรรสร้างวิวที่สวยงามให้เราได้เห็นหลากหลายรูปแบบ

ที่นี่ก็เช่นกัน กินข้าวไป ชมวิวไป ฟินสุดๆ เพราะบริเวณห้องอาหารที่นี่จะกึ่งโอเพ่น เปิดรับลม และกั้นด้วยกระจกเห็นวิวได้ชัดเจน อาหารมีหลากหลายสามารถเลือกกันได้ตามใจชอบ เช่น ข้าวต้ม ข้าวผัด มักกะโรนีซอสมะเขือเทศ สลัด ขนมปังปิ้ง (บริการตัวเอง) กาแฟ ฯลฯ



ถ่ายรูปกันพอสมควรได้เวลา Check Out ประมาณ 9.00 น. เตรียมตัวไปสวนผักไฮโดรโปนิกส์ตามที่ได้นัดหมายไว้ แต่เนื่องจากเส้นทางจากพักไปยังสวนผัก มีสถานที่ฮอตฮิตที่หลายๆ คน ชอบมาถ่ายรูปกัน ก็ต้องขอแวะกันก่อนซะหน่อย
ผ่านหน้าอำเภอเขาค้อเป็นจุดชมทะเลหมอกที่ได้รับความนิยมมองเห็นอ่างเก็บน้ำ และป้ายตัวหนังสือ “หนาวนี้ที่เพชรบูรณ์” แต่ต้องขออภัยไม่มีรูปภาพนะจ๊ะ เพราะวันนี้ไม่มีหมอก ก็เลยไปแวะที่ “ไปรษณีย์เขาค้อ” แทน มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปและวิวที่มองเห็นอ่างเก็บน้ำเช่นกัน



และอีกจุดที่ผ่านแล้วต้องขอแวะ คือ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก แต่วันนี้ปิด จึงไม่ได้เข้าไปสักการะด้านใน



แล้วก็มาถึง สวนผักไฮโดรโปนิกส์ ต.ทุ่งสมอ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆ สวัสดีพ่อแม่เพื่อน และไปเยี่ยมชมแปลงฝักสดๆ เก็บกันกับมือ และถึงเวลาจึงขอตัวไปต่อ



ต่อกันที่ Pino Latte ร้านกาแฟวิวดีที่ไม่ควรพลาด พวกเราเลือกเข้าทางเดียวกับ เดอะหลุยส์ คอฟฟี่ เลยปั๊มบางจากมาเล็กน้อยสังเกตปากทางจะมีป้าย “บ้านภูผาแก้ว” ขับตรงไปเรื่อยๆ ทางชันไม่มาก ผ่านเดอะหลุยส์ คอฟฟี่ มีสัญลักษณ์หมีเท็ดดี้แบร์ น่ารักๆ เต็มไปหมด ไว้โอกาสหน้าคงได้แวะบ้าง
เลยไปประมาณ 700 เมตร ก็มาถึง Pino Latte จากจุดนีัจะเห็นวิววัดพระธาตุผาซ่อนแก้วด้วย เนื่องจากเป็นวันหยุดคนค่อนข้างเยอะ เลยไม่ได้ลิ้มรสกาแฟ ไว้ครั้งหน้ามาวันธรรมดาคงได้ชิลกันใหม่





ทางลงสามารถทะลุผ่านวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วได้ สำหรับสถานที่จอดรถประมาณ 30 บาท




ระหว่างทางกลับมีร้านการแฟวิวสวยน่าสนใจ ชื่อร้าน Moai (โมอาย) ซึ่งตั้งชื่อตามรูปปั้นหิน บนเกาะอีสเตอร์ ประเทศชิลี หลังจากพลาดการลิ้มรสกาแฟที่ Pino Latte เลยขอแวะที่นี่เลยแล้วกัน (ขออภัยอีกครั้งไม่มีรูปปั้นหินมาด้วย สัญลักษณ์ตามแก้วกาแฟเลยจ้า)


ได้เวลาเดินทางกลับ โอกาสต่อไปหวังว่าจะได้มาบ่อยๆ “เพชรบูรณ์ วิวดี อากาศดี ใกล้แค่นี้เอง”
แนะนำติชมได้นะคะ ทริปนี้ใช้ทั้งกล้องถ่ายรูปและกล้องโทรศัพท์ ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส ขอบคุณทุกท่านที่แวะมารับชม และขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคน ที่ให้ความอนุเคราะห์รูปสำหรับการรีวิวในครั้งนี้เพิ่มเติมค่ะ