
สังขละบุรี I เวลาน้อย งบน้อย แต่สุขมาก (ฉบับกะทัดรัด 2 วัน 1 คืน งบ 1,500 บาท)
อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี จ.
Thitima Phirunsookasamตามรอย โครงการแหลมผักเบี้ยฯ ต้นแบบเทคโนโลยีการบำบัดน้ำเสียตามแนวพระราชดำริ
แทบทุก ๆ จังหวัดของประเทศไทย ไม่มีจังหวัดไหนที่ไม่มีโครงการพระราชดำริที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงศึกษาวิจัยเพื่อช่วยเหลือราษฏรที่ลำบาก เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างในจังหวัดเพชรบุรีนี้เอง ก็มีโครงการที่น่าสนใจมากมาย และหนึ่งในนั้นคือ "โครงการศึกษา และวิจัยแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ที่ทรงให้สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และ กรมชลประทานร่วมกันหาวิธีแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับขยะมูลฝอย น้ำเสีย และการฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี

โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ที่ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี มีพื้นที่ 1,135 ไร่ สามารถบำบัดน้ำเสียได้ 1 ใน 5 ของเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี ซึ่งมีประชากรประมาณ 40,000 คน โดยน้ำเสียจะถูกส่งมาตามท่อด้วยความยาวกว่า 18 กิโลเมตร ตามจังหวัดเพชรบุรี เพื่อเข้าสู่ระบบบำบัดที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชั้นสูง และเป็นยังมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

เทคโนโลยีการบำบัดน้ำเสียตามแนวพระราชดำริที่ได้นำมาใช้ในแหลมผักเบี้ยมีทั้งหมด 4 ระบบ ได้แก่
1. ระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย เป็นระบบที่อาศัยการกักพักน้ำเสียไว้ในระยะเวลาที่เหมาะสมกับความสกปรกของน้ำ เติมออกซิเจนด้วยการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอน และสาหร่าย อาศัยแรงลมช่วยในการเติมอากาศเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์ และกักพักน้ำในแต่ละบ่อเป็นเวลา 7 วัน น้ำเสียแต่ละบ่อจะไหลล้นจากด้านบน และไหลลงสู่ด้านล่างของบ่อถัดไป
2. ระบบพืชและหญ้ากรองนาเสีย เป็นระบบที่ให้พืช หญ้าอาหารสัตว์ ช่วยดูดซับธาตุอาหารจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน โดยมีระยะเวลาในการขังน้ำเสีย 5 วัน สลับปล่อยแห้ง 2 วัน ที่ใช้ในการบำบัด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ หญ้าอาหารสัตว์ ได้แก่ หญ้าสตาร์ หญ้าคาลลา และหญ้าโคสครอส พืชทั่วไป ได้แก่ ธูปฤาษี กกกลมและหญ้าแฝกพันธุ์อินโดนีเซีย เมื่อครบตามระยะเวลาก็จะตัดพืชออก แล้วก็นำไปให้กลุ่มแม่บ้านทำเครื่องสานเพื่อเพิ่มประโยชน์และสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้านได้ด้วย
3. ระบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม เป็นระบบที่ใช้กลไกการบำบัดเช่นเดียวกับระบบพืช และหญ้ากรอง จะแตกต่างกันที่วิธีการ คือ จะเติมน้ำเสียลงสู่ระบบอย่างต่อเนื่องตลอดวัน โดยอัตราการไหลของน้าเสียเท่ากับปริมาณน้ำเสียใหม่ที่สามารถผลักดันไล่น้ำเสียเก่าออกจากระบบหมดในเวลา 1 วัน พืชที่ใช้ก็เป็นชนิดเดียวกันกับระบบก่อนหน้า
4. ระบบแปลงพืชป่าชายเลน ระบบนี้จะให้ธรรมชาติบำบัดด้วยตัวของมันเองตามระยะเวลาการขึ้นลงของน้ำทะเลในแต่ละวัน อาศัยระบบรากของพืชป่าชายเลนช่วยปล่อยก๊าซออกซิเจนเติมให้กับน้ำเสียและจุลินทรีย์ในดิน หรับสัดส่วนในการผสมระหว่างน้ำเสียและน้ำทะเลจะมีสัดส่วนมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับค่าความสกปรกของน้ำเสีย




อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของการเที่ยวที่นี่ นอกจากจะได้รู้เกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียแล้ว ที่นี่ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศป่าชายเลน มีระยะทางประมาน 850 เมตร แต่ไม่ต้องกลัวว่าแดดจะร้อนเหงื่อจะท่วมนะครับ เพราะตลอดสองข้างทางเดินนั้นจะเต็มไปด้วยต้นโกงกาง และต้นแสม แถมด้วยผักเบี้ยทะเลของจริงที่ขึ้นอยู่เต็มบริเวณโดยรอบป่าชายเลนให้เราเดินชมกันเพลิน ๆ




เราเดินชมธรรมชาติกันเรื่อยๆ บนสะพานไม้ที่ทอดยาว และขึ้นไปดูหอภูมิทัศนา ที่ทำให้เราเห็นว่าเรือนยอดของต้นโกงกาง และต้นแสมได้เจริญเติบโตมากเพียงใด จุดนี้เองหากใครเหนื่อย และเมื่อยก็สามารถแวะพักถ่ายรูปได้ จะได้รูปของท้องฟ้าสีสดใสตัดกับสีเขียวของต้นโกงกาง ลมพัดเอื่อย ๆ บรรยากาศแบบนี้สดชื่นจนทำให้เราลืมความเหนื่อยไปได้เลย และความอุดมสมบูรณ์ที่มีให้เราเห็นอีกอย่างคือ สัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณป่าชายเลน เป็นที่พักพิงหลบภัย หรือเป็นแหล่งอาหารของพวกมัน สัตว์เหล่านี้ที่จริงก็สามารถพบได้ทั่วไปในทุก ๆ ป่าชายเลน แต่พิเศษคือที่นี่มีจำนวนมากกว่าที่อื่น ๆ และยังมีสัตว์หายากบางชนิด เช่น ปลาตีนตัวใหญ่ ปูแสม ปูก้ามด้าม นกนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นนกเด้าดิน นกเด้าลม นกยางเปีย และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยที่นี่ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น 1 ใน 10 แหล่งดูนกที่ดีที่สุดของประเทศอีกด้วย






หากใครเป็นคนช่างสังเกต หรือหูไว ก็อาจจะได้ยินเสียงเหมือนคนดีดนิ้วตลอดเวลา ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของเสียงนี้คือ "กุ้งดีดขัน" มันจะดีดตัวเพื่อเคลื่อนตัวเองอยู่บริเวณโคลนนั่นเอง เดินมาซักพักเราก็จะมาถึงปากทางของป่าชายเลน ที่เป็นเวิ้งทะเลกว้าง และมีสะพานไม้ทอดยาว เป็นอีกมุมที่ใคร ๆ ก็ต่างมาถ่ายรูปสวย ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก เราแนะนำว่าหากทริปหน้าของเพื่อน ๆ มีแพลนมาเที่ยวจังหวัดเพชรบุรีละก็ ลองแวะมาที่นี่ดูนะครับ เพราะเราจะได้ทั้งความรู้ ความเพลิดเพลิน และความสวยงามที่แสนประทับใจกลับไปอย่างแน่นอน


จุดเด่น
โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการที่แก้ไขปัญหาน้ำเสีย และขยะชุมชนที่ประหยัด สะดวก ทำได้ง่าย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศได้อย่างกว้างขวาง ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้เครื่องจักรแต่ใช้ธรรมชาติในการบำบัด และยังมีเส้นทางศึกษาที่เหมาะสำหรับมาพักผ่อนหย่อนใจ
จุดด้อย
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นที่โล่งแจ้ง ในวันที่ฝนตกหรือแดดร้อนมาก ๆ อาจไม่มีที่กำบังฝนหรือหลบแดดได้ และยังไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบมากนัก
ข้อสรุป
โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยนี้ มีประโยช์ต่อชุมชนจังหวัดเพชรบุรีอย่างมาก เช่น การบำบัดแม่น้ำเพชรบุรีให้มีคุณภาพน้ำดีขึ้น ,ระบบนิเวศป่าชายเลนมีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ,น้ำเสีย และน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วสามารถนำมาใช้ปลูกพืชเกษตรได้ และพืชที่เก็บเกี่ยวจากแปลงพืชบำบัดน้ำเสียยังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องจักสานผลิตเป็นสินค้าหัตถกรรม และทำเยื่อกระดาษได้อีกด้วย จะเห็นว่านอกจากสภาพพื้นที่ดีขึ้นแล้วยังสามารถเป็นอาชีพเสริมรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้านหรือคนว่างงานในชุมชนได้อีกด้วย
คะแนน 4/5
ข้อมูลทั่วไป
ที่อยู่ : บ้านพะเนิน ตำบลบ้านแหลม อำเภอ บ้านแหลม เพชรบุรี 76110
GPS : 13.049799 , 100.090521
เบอร์ติดต่อ : 032-441-265
เวลาทำการ : เปิดให้เข้าชมทุกวัน แต่จะมีวิทยากรให้ความรู้เฉพาะในวัน เสาร์-อาทิตย์
ช่วงเวลาแนะนำ : ควรไปเที่ยวในช่วงเดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ เพราะธรรมชาติจะสวยงามต้นไม้เขียวขจี และอากาศไม่ร้อนจนเกินไป
ไฮไลต์ : เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เต็มไปด้วยต้นโกงกาง และต้นแสม ระยะทาง 850 เมตร ปลายสุดของทางเดินจะเป็นสะพานที่ทอดยาวไปในทะเล
กิจกรรม : ชมธรรมชาติ ,ดูสัตว์ต่างๆ เช่น ปลาตีนตัวเบ้อเริ่ม ปูแสม ปูก้ามด้าม นกนานาชนิด ,พักผ่อนหย่อนใจ , ศึกษาเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียในโครงการพระราชดำริ
วิธีการเดินทาง
โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางเลียบชายทะเลจากอำเภอบ้านแหลม ไปยังหาดเจ้าสำราญ ระยะทางประมาณ 15 กม. ทางเข้าโครงการแหลมผักเบี้ยอยู่ข้างวัดสมุทรโคดม
โครงการศึกษาและวิจัยแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ


























