อยากอยู่ “น่าน” ให้นานกว่านี้
อำเภอเมือง จังหวัดน่าน จ.
JumPoon BKเดินทาง

อยากอยู่ “น่าน” ให้นานกว่านี้
เอ่ยปากพล่อยๆ กับพี่ที่ทำงาน “ไปน่านกันไหมพี่” แล้วมีเสียงอันหนักแน่นตอบกับมาว่า “ไป” ตอบอย่างนี้ ก็เลยจัดไป หลังจากดูตารางงาน ตารางชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนแล้ว เราลางานกัน 1 วัน เที่ยววันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตามประสามนุษย์เงินเดือนได้ฤกษ์ดีศุกร์-อาทิตย์ 25-27 สิงหาคม 2560 สัก 3 วัน น่าจะพอ จองตั๋วเครื่องบินไปกลับ จองที่พักในตัวเมืองน่าน 2 วัน เรียบร้อย
เที่ยวบินที่เราไปเช้ามากๆ 7:40 น. เราคนบ้านนอกศรีราชาเลยต้องเข้ามานอนเมืองกรุงตั้งแต่เย็นวันพฤหัส เพราะกลัวตกเครื่อง โชคดีที่มี Connection ดี Guest ที่เคยมาให้ความรู้กับนิสิตที่ ม.เรา เลยชวนเราไปนอน Hostel ที่ Guest ทำงานอยู่ ไปสิคะรออะไร ยิ้มอ่อน นอนฟรี 1 คืน เราพักที่ Siamaze Hostel ใกล้ๆ MRT สุทธิสาร เรานอนห้อง dorm ขนาด 4 เตียง ห้องน้ำรวม ด้วยความเกรงใจเลยถามราคาห้องต่อคืนของห้องที่เราพัก Guest ตอบมาว่า ห้อง 4 เตียง 350 บาท ห้อง dorm 8 เตียง 300 บาท ยังมีห้องสำหรับครอบครัว 4 เตียง และห้องนอนเตียงใหญ่ด้วยที่มีห้องน้ำในตัวบริการอีกด้วย และพาเราไปเดินดูห้องโน้นห้องนี้ แล้วก็คุยกันยาวเรื่องกิจการ Hostel เราซอกแซกถามไปเรื่อย แขกที่พักส่วนใหญ่เป็นใคร กิจการพอไปได้ไหม ฯลฯ ตามนิสัยของอาชีพนักวิชาการแบบเรา Guest ให้ข้อมูลมาว่าที่นี่มีกิจกรรมเสริมให้แขกที่เข้าพักฟรี 3 วัน วันจันทร์ สอนทำอาหารไทย วันพุธเป็น Movie Night แถมอาหารเย็น วันศุกร์มี Bar B Q Party เรามองหน้า Guest แล้วบอกว่าเงิน 300 กว่าๆ ที่พักที่นี่มันดูคุ้มค่าเกินราคาไปเยอะมาก ขอบคุณ Guest ที่เมตตาหมูตัวน้อยให้มีที่นอน 1 คืนนะจ๊ะ แถมเพื่อนสมัยประถมที่กรุงเทพฯ ก็นัดเราไปเลี้ยงข้าวฟรีที่ The EmQuartier อีกต่างหาก โชคดีที่ Siamaze Hostel อยู่ใกล้ระบบการขนส่งที่สะดวก เราเลยมุดดินขึ้นฟ้าไปหาเพื่อนได้สบายๆ
Siamaze Hostel ที่นอนก่อนเดินทาง



เดินทางโดยแอร์เอเซีย
เราออกจาก Siamaze ตอนตีห้า นั่งแท็กซี่ไปดอนเมือง ใช้เวลา 30 นาที ก็ถึงแล้ว เราออกเร็วเพราะไม่มั่นใจเรื่องจราจร ถึงเร็วไว้ก่อน ปลอดภัย ไม่ตกเครื่อง เราไปเจอเพื่อนร่วมทริปที่ดอนเมือง นั่งเจ้าหางแดงไปถึงสนามบินน่านตอนใกล้ๆ 9 โมง ไปรับรถเช่าของ JM Carrent รถยนต์ Vios ค่าเช่าวันละ 800 บาท เรากลับวันอาทิตย์ตอนเช้า เลยคิดค่าเช่า 2 วัน ค่ารถ 1,600 บาท บวกค่าน้ำมัน 700 บาทที่เรากับเพื่อนไปตะลอนกันทั่วเมืองน่าน เดี๋ยวเราค่อยๆ ทยอยเล่าไปนะว่าไปไหนบ้าง

ที่พัก บ้านๆน่านๆห้องสมุดและเกสต์โฮม
จุดหมายแรก ก็ที่พักที่เราจองเลยค่ะ บ้านๆน่านๆห้องสมุดและเกสต์โฮม เอาของไปเก็บก่อน ไปถึงตอน 10 โมง เราเจอครูต้อมเจ้าของ ครูต้อมบอกว่าให้เอาของไปเก็บที่ห้องพักได้เลยห้องพร้อมแล้ว เพราะห้องที่เราจองไม่มีคนพักเมื่อคืนที่ผ่านมา ที่พักที่นี่เป็นบ้านไม้ สะอาด และเย็นสบายดีค่ะ ครูต้อมเจ้าของก็อัธยาศัยดี มีหนังสือให้เราอ่านเพียบ ที่นี่เปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆ บาเรสต้าโดยครูต้อม กาแฟรสชาติดีมากเลยสอบถามถึงเมล็ดกาแฟจากครู ครูเลยบอกว่าเป็นกาแฟเมืองน่าน ชื่อ gem forest coffee วันถัดมาเราเลยปั่นจักรยานไปในตลาดไปหาซื้อเมล็ดกาแฟเอามาบดชงกินเองที่ทำงาน ส่วนหนังสือเราอ่านไว้เล่มหนึ่ง ชื่อ UNTOUCHABLE จัณฑาล เนื้อหาดีมาก ว่าด้วยวรรณะในอินเดีย เนื้อหาสนุกน่าติดตาม เรายังอ่านไม่จบ ใครไปช่วยอ่านต่อแล้วมาเล่าให้เราฟังบ้างนะคะ

หนังสือเราอ่านค้างที่บ้านครูต้อมชื่อ UNTOUCHABLE จัณฑาล เนื้อหาดีมาก ว่าด้วยวรรณะในอินเดีย เนื้อหาสนุกน่าติดตาม ใครไปอ่านต่อแล้วมาเล่าให้เราฟังบ้างนะคะ
ของดีเมืองน่านอีกอย่าง คือ กาแฟเมืองน่าน ชื่อ gem forest coffee
เฮือนฮอม วัดมิ่งเมือง
เราไปถึงที่พักก็สายมากแล้วข้าวเช้าแบบจริงจังยังไม่ตกถึงท้อง เลยถามข้อมูลครูต้อม ครูต้อมแนะนำให้ซื้อจากตลาดมากินที่พักได้ หรือไปกินที่ร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราวที่ร้านเฮือนฮอม เป็นร้านที่อยู่ใกล้ๆ กับวัดมิ่งเมือง ข้าวเช้าของเราจึงเกิดขึ้นที่เฮือนฮอม สั่งออเดริฟเฮือนฮอม (250 บาท) พร้อมข้าวเหนียว 1 ที่ มากินกัน 2 คน แค่นี้ก็อิ่มแล้ว ฝนก็ตกกระปริกระปรอย กินข้าวเสร็จ เราเดินฝ่าฝนข้ามถนนไปวัดมิ่งเมือง
เดินเข้าไปวัดมิ่งเมือง สิ่งที่เห็นเลยคือ เป็นวัดขาวโพลนไปหมด พอเดินเข้าไปใกล้ๆ เห็นลวดลายปูนปั้น โอ๊ย ใจละลาย ในบริเวณวัดมิ่งเมืองเป็นที่ประดิษฐานเสาหลักเมือง ซึ่งอยู่ในศาลาหน้าพระอุโบสถ เราเดินไปที่พระอุโบสถ ก่อนเข้าไปในตัวอาคารก็แหงนหน้ามองลายปูนปั้นอันวิจิตร จากที่อ่านข้อมูลมา ปูนปั้นนี้เป็นฝีมือของตระกูลช่างเชียงแสน ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังซึ่งเป็นฝีมือของช่างในปัจจุบัน
ใกล้ๆ กับวัดมิ่งเมือง แถวร้านเซเว่น มีตลาดขายของที่ระลึก คล้ายกับ night bazar ที่เชียงใหม่ เรากับเพื่อนก็ตั้งใจหลงไปหลงมาในนั้นอยู่สักพัก สุดท้ายก็ได้สติกัน ได้เวลาไปวัดถัดไป เราใช้วิธีการเดินเที่ยวเอา เพราะอยู่ใกล้ๆ กัน

วัดภูมินทร์
วัดภูมินทร์ เดินมากจากวัดมิ่งเมืองนิดเดียวก็ถึงวัดภูมินทร์บริเวณนั้นเป็น 4 แยก มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่รายรอบ วัดภูมินทร์สร้างขึ้นเมื่อปี 2139 มีอายุมากกว่า 400 ปี สถาปัตยกรรมเป็นทรงจัตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทย อาคารนี้ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัว โดยให้พระอุโบสถและวิหารไว้บนหลังกลางลำตัว บันไดนาคที่เราเห็นมีการยกอกขึ้นมากกว่าปกติ อีกทั้งยังดูหน้าตาใจดี ลำตัวดูอุดมสมบูรณ์ แล้วก็มีช่องให้เดินลอด เขาว่ากันว่าเดินลอดช่องตรงลำตัวพญานาคแล้วจะโชคดี
อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหาร และพระเจดีย์ประธาน โดยอาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหาร และอาคารแนวเหนือ-ใต้เป็นพระอุโบสถ นอกจากนี้สิงที่น่าสนใจที่วัดภูมินทร์ คือ จิตรกรรมฝาผนังภายในอาคาร เรียกกันว่า “ฮูปแต้ม” ซึ่งเขียนในช่วงรัชกาลที่ 4 โดยศิลปินหนานบัวผัน จิตรกรพื้นถิ่นเชื้อสายไทลื้อ เป็นศิลปินคนเดียวกับที่เขียนภาพที่วัดหนองบัว วัดสำคัญของชาวไทลื้อ ที่ อ.ท่าวังผา ภาพเขียนใช้แม่สีแดง น้ำเงิน เหลืองเป็นหลัก เราสังเกตว่าภาพจิตรกรรมไม้ได้มีลักษณะแบนๆ แต่มีมิติขึ้นมาต่างจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เราพบเห็นทั่วไปจากที่อื่น มีการให้อารมณ์ของภาพ เราเชื่อว่าศิลปินต้องเป็นคนอารมณ์ดี เพราะได้ใส่ลูกเล่นและอารมณ์ขันไว้ด้วย โดยเฉพาะภาพเขียนที่มีชื่อเสียง “ปู่ม่าน-ย่าม่าน” ให้คำตอบได้เป็นอย่างดี เดินออกมาจากวัดภูมินทร์ข้ามถนนไปก็ถึงวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1949 เรามาชมวัดนี้ท่ามกลางฝนโปรยปราย เลยรีบเดินเข้าพระวิหารที่มีขนาดใหญ่ มีเสาปูนกลมขนาด 2 คนโอบประดับด้วยลวดลายปูนปั้น ส่วนจิตรกรรมฝาผนังก็ลางเลือนไปมาก ด้านข้างพระวิหารเป็นหอไตรมีโครงสร้างคล้ายพระวิหาร แต่เล็กกว่ามากมีความแคบและยาวลึก ภายในประดิษฐานพระพุทธนันทบุรีศรีศากยมนี หลังหอไตรเป็นเจดีย์ช้างค้ำ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เจดีย์เป็นทรงลังกาได้รับอิทธิพลจากเจดีย์วัดช้างล้อม จ.สุโขทัย เราออกไปทางประตูด้านหลังวัด เจอวัดเล็กๆ น่ารัก ชื่อวัดหัวข่วง
วัดหัวข่วง
วัดหัวข่วง ตั้งอยู่ใกล้หอคำ หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน วิหารวัดเป็นวิหารเล็กๆ ผีมือช่างเมืองน่าน ได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี หน้าบันเป็นลวดลายไม้รูปพรรณพฤกษาอ่อนช้อยงดงาม ซุ้มประตูมีลายปูปั้นประดับ มีลวดลายที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เราเข้าไปด้านในวิหารมีป้ายเล็กๆ บอกถึงผู้สนับสนุนในการบูรณะวัดหัวข่วง อ่านชื่อนามกุลแล้วก็เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ซึ่งเราคิดว่าดีไม่น้อยเลย การบูรณะโบราณสถานใดๆ ก็ตาม ถ้ามีเอกชนมาร่วมด้วยช่วยกัน ก็เป็นการยืดอายุโบราณสถานให้ใช้งานได้ต่อไปยาวๆ ข้างๆ พระวิหาร มีหอไตรเล็กๆ รูปทรงสี่เหลี่ยม ครึ่งปูนครึ่งไม้ มีลวดลายสวยงามรอบหอไตร หลังพระวิหารเป็นเจดีย์ทรงประสาท ศิลปะแบบล้านนา จากนั้นเราก็ไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน
หอคำ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน หรือหอคำ เดิมเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครน่าน เป็นที่เสียดายมาก ช่วงที่เราไปอยู่ในช่วงการปรับปรุง เราดูได้เฉพาะชั้นที่ 1 ซึ่งมีงาช้างคำของคู่บ้านคู่เมืองน่านจัดแสดงอยู่ในห้องเซฟ ด้านหน้าหอคำเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ผู้เป็นเจ้าของหอคำแห่งนี้ด้วย ภายในอาณาบริเวณหอคำมีโบราณสถานวัดน้อย จากป้ายข้อมูลที่อ่านมาเล่าว่าพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 63 กราบบังคมทูล ถึงจำนวนวัดในเมืองน่าน ต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5แต่ปรากฏว่านับจำนวนเกินไปหนึ่งวัด จึงได้สร้างวัดองค์น้อยแห่งนี้ขึ้นมาให้ครบตามจำนวนที่กราบบังคมทูลไป พระองค์เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 5 เพียงครั้งเดียว ใน พ.ศ.2416 วัดน้อยคงสร้างหลังจากนั้น รูปทรงของวัดเป็นวิหารก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง 1.89 เมตร ยาว 2.34 เมตร สูง 3.35 เมตร แบบศิลปะล้านนา สกุลช่างน่าน มีพระพุทธรูปและแผงพระพิมพ์ไม้ประดิษฐานอยู่ภายใน เชื่อว่าเป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย เกือบลืม! มาหอคำอย่าลืมไปถ่ายรูปเพ้อๆ ที่ซุ้มลีลาวดีด้วยนะจ๊ะ


วัดศรีพันต้น
จากนั้นเราขับรถไปวัดศรีพันต้นท่ามกลางฝนโปรยปราย มาชมวิหารสีทองทั้งหลังกับปูนปั้นที่อลังการงานสร้างสุดๆ บันไดพญานาคเจ็ดเศียรเด่นเป็นสง่าหน้าวิหาร ภายในวัดยังมี วิหารสังฆจายวัดศรีพันต้น ภายในมีพระกัจจายนะเถระเป็นองค์ที่มีขนานใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดน่าน
ผาชู้ ดอยเสมอดาว
เสร็จสิ้นภารกิจชมวัดในตัวเมืองเราก็กลับบ้านพัก ไปอาบน้ำอาบท่า บอกครูต้อมว่าวันนี้จะไปนอนที่ผาชู้ ตามความประสงค์อันปุ๊บปั๊บของเพื่อนร่วมทริป อยู่บ้านนอนห้องดีดีไม่ชอบ อยากไปนอนเต๊นท์ จัดไป! ตามนั้น เพราะเราไม่ได้เป็นคนขับรถ เราตามใจคนขับรถ เราออกจากเมืองน่านประมาณบ่าย 3 แวะซื้อของกิน และกินข้าวเย็นระหว่างทางให้เรียบร้อยก่อนขึ้นดอย เส้นทางขับรถใช้ความเร็วได้ไม่มาก ทางคดเป็นงูเลื้อยไปเลื้อยมา กว่าจะถึงดอยเล่นเอามึนอยู่ไม่น้อย
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงผาชู้ เสียค่าธรรมเนียมค่าเข้าอุทยาน 70 บาท ไปถึงก็เช่าเต็นท์ ที่รองนอน ถุงนอน หมอน จากที่ทำการอุทยาน ทั้งหมดราคา 345 บาท นั่งคุย นั่งเม้าท์ กับเจ้าหน้าที่อุทยาน สอบถามเรื่องป่าเขาไปเรื่อยเปื่อย เพื่อรอเวลาให้มืด รอดูดาว แต่ดาวเล่นตัวมาก แทบไม่โผล่มาให้เห็นเลย โผล่มาประเดี๋ยวประด๋าว ก็จากไป เราเลยนอนดีกว่า
ตื่นเช้ามาล้างหน้าแปรงฟัน ก็ออกเดินทางไปดอยเสมอดาว สถานที่ยอดฮิตของจังหวัดน่าน ชมวิวพร้อมอากาศเย็นๆ สักพัก ก็เดินทางกลับที่พักเรา ก่อนกลับแวะไปทักทายเสาดินนาน้อยซึ่งอยู่ห่างจาก อช.ศรีน่าน ประมาณ 24 กม. กันสักหน่อย
เสาดินนาน้อย
เสาดินนาน้อย ตอนเราไปถึงไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน มีเราอยู่แค่สองคน ถ่ายรูปกันสบายใจไทยแลนด์ไปเลย จากข้อมูลของเสาดินนาน้อย เป็นเสาดินที่เกิดจากการที่ดินตะกอนที่เลื่อนตัวจากผิวดินเป็นเวลาหลายล้านปี และถูก กัดเซาะจากน้ำและฝนจนทำให้มีรูปร่างแปลกตาอย่างที่เห็น นอกจากนี้ยังมีการค้นพบกำไลหินและขวานโบราณ แสดงว่าพื้นที่แหล่งอาศัยของมนุษย์ยุคหินเก่า





ออกจากเสาดินนาน้อยเจอทุ่งนาสวยๆ เลยแวะถ่ายรูปกันสักหน่อย จากนั้นก็มุ่งตรงกลับที่พักกันเลย อาบน้ำอาบท่ากินกาแฟโดยมีครูต้อมเป็นบาเรสต้าชงให้ดื่ม เรากับเพื่อนพักผ่อนกันสักครู่ก็เตรียมตัวออกกันอีกรอบ ก่อนไปสอบถามเส้นทางท่องเที่ยวกับครูต้อม โดยบอกสถานที่ที่เราตั้งใจจะไปกันคือที่ หอศิลป์ริมน่าน พระธาตุแช่แห้ง และพระธาตุเขาน้อย ครูต้อมแนะนำให้เลยไปที่วัดหนองบัวอีกที่ แล้วก็แนะนำที่กินอีกด้วย

