
เที่ยวเมืองคอน นอนเดอะปลั๊ก
นครศรีธรรมราช จ.
JumPoon BKการเดินทาง ที่พัก The Plug Hotel
การเดินทาง
ทริปนี้เกิดจากทริปหลวงพระบาง คุณพี่เพื่อนร่วมทริปในครั้งนั้นชวนไปเที่ยวบ้านเก่าที่นครศรีธรรมราช เรามันคนใจง่ายเลยตอบตกลง พร้อมจองตั๋วเครื่องบินเลย มีเรื่องตื่นเต้นก่อนบินไปเมืองคอน เราดูเวลาเที่ยวบินสับสนกับอีกทริป เข้าใจไปเองว่า เที่ยวบินไปนครศรีธรรมราช จะไปช้ากว่านั้น คือไปช้ากว่าที่ต้องบินไป 1 ชั่วโมง จากศรีราชามาถึง รพ.สินแพทย์ เปิดดูข้อมูลเที่ยวบินที่เราได้เช็คอินมาเรียบร้อย ได้ส่งเสียงสั่นรถตู้ว่า “ชิบหายแล้ว” เหลืออีก 1 ชั่วโมงต้องบิน เลยบอกพี่คนขับรถตู้ให้จอดตรงที่มีวินมอไซค์แถวซอยนวลจันทร์ เป็นสก๊อยเกาะพี่วินแน่น “ดอนเมืองพี่ เร็วที่สุด” สภาพการจราจรเวลานั้นบอกเลยว่าเกือบวิกฤต พี่วินใช้เวลาราว 25 นาที ส่งเราตรงสะพานลอยหน้าสถานีรถไฟดอนเมือง จ่ายค่าเสียหายไป 250 บาท วิ่งขึ้นสะพานลอยผ่านอาคาร 1 วิ่งต่อไปไม่คิดชีวิตไปยังอาคาร 2 เนื่องจากเวลาจวนเจียนทางพนักงานแอร์เอเซียให้ไปออกตั๋วที่เคาน์เตอร์ A เรามีเพื่อนร่วมเที่ยวบิน ยืนยิ้มอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้วย บอกเราว่า “ใจเย็นๆ หายใจลึกๆ ทันๆ” เราไปตรวจตามขั้นตอนก่อนขึ้นบิน ไปที่ Gate 45 กำลังต่อแถวตรวจตั๋วขึ้นเครื่องกันอยู่เลย ทันพอดี แบบใจหายใจคว่ำ
ไปถึงนครศรีธรรมราชคุณพี่และเพื่อนก็มารับที่สนามบิน ไปที่พัก The Plug Hotel เนื่องจากคุณพี่เป็นเจ้าถิ่น เพื่อนๆ ก็มากมาย นานๆ ลงมาสังสรรค์ที่เมืองคอนที่ อานิสงส์นั้นจึงตกมาเป็นของเราด้วย ทั้งที่พัก ทั้งอาหาร ทั้งรถพาเที่ยว เราแทบไม่ได้ควักเงินออกมาเลย เราเสียแค่ค่าเดินทางไปและกลับ กับของกินเล่นส่วนตัวเท่านั้น
ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช
The Plug Hotel
มาถึง The Plug Hotel ก็ต้องรายงานตัวกับ Front หน้าตาดี กรอกข้อมูลส่วนตัวให้เรียบร้อย พร้อมเลือกเมนูอาหารเช้า จากนั้นขึ้นห้องพักหมายเลข 2 ทางโรงแรมบอกเราว่า ห้องนี้เป็นห้องที่พี่ตูนเพิ่งพักไป เมื่อตอนวิ่งผ่านเมืองคอน กรี๊ดดดดดด The Plug Hotel เพิ่งเปิดตัวใหม่ได้ไม่นาน ตกแต่งด้วยสไตส์ Loft การเข้าออกเป็นระบบคีย์การ์ด มี 4 ชั้น ชั้น 1 เป็น Front กับร้านกาแฟ ห้องพักของโรงแรมอยู่ชั้น 2 และ 3 ส่วนชั้น 4 เป็น Roof Top เปิดตอนเช้าสำหรับผู้เข้าพักไปรับประทานอาหารเช้าที่นั่น เข้าไปในห้องมีเตียง มีโซฟา TV อุปกรณ์ในห้องน้ำ ไดร์เป่าผม ตู้เย็น น้ำดื่ม ลำโพง Bluetooth ที่ชอบใจเราก็คือ ปลั๊กไฟ (สมชื่อ The Plug) ที่มีอยู่ตรงหัวเตียงทั้งสองด้าน และตรงข้าง TV ปลั๊กที่นี่มีอยู่เยอะพอกับการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ของเรา ที่สำคัญปลั๊กไฟที่นี่มี Port USB เสียบชาร์จไฟได้เลย คือดีงาม พักที่นี่สนุก เพราะทุกมุมคือสตูดิโอถ่ายภาพ ทางเดินคือรันเวย์ (มโนไป) เราแอบ Selfie ในโรงแรมตอนปลอดคน กลัวเขาหาว่าเราบ้า โพสท่าบ้าๆ บอๆ ที่นี่ออกแบบตกแต่งได้น่าสนใจ ที่เราชอบที่สุด ก็ที่นอนกับหมอน มันนุ่มนิ่ม กลิ่นสะอาด เป็นที่นอนกระชากวิญญาณ มานครคราวหน้า จะกลับมาพักอีกแน่นอน





ที่ The Plug อาหารเช้าต้องขึ้นมากินที่ Roof Top ของโรงแรมไปกินอาหารเช้าที่สั่งไว้ ด้านบนอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน ตกแต่งได้น่ารักดี รูปอาหารเช้าบางส่วนที่เดอะปลั๊กมีบริการ เราขอถ่ายจากแขกท่านอื่นด้วย


ร้านน้ำชาบังบ่าว กุฏิไม้ร้อยปีวัดวังตะวันตก
วันแรกที่เราไปถึงก็ค่ำแล้ว เพื่อนของคุณพี่ก็นัดรวมตัวมาเม้าท์กันที่ร้านน้ำชาบังบ่าว ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก (ไม่เกิน 100 เมตร) เราก็นั่งฟังเพลินๆ ไปกินไป สั่งอาหารแบบอลังการงานสร้าง อาหารทยอยมาเสริฟไม่หยุด ทั้งโต๊ะมี 10 คน กินไปเม้าท์ไป ในราคา 645 บาท ถูกมาก!!! แน่นอนว่ามีเจ้าภาพเจ้าถิ่นเลี้ยงดู แฮ่ๆ กินเสร็จกลับที่พักนอนค่ะ



นครที่เราไปเยือน ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ ก่อนหน้าที่เรามาฝนตกหนักมีน้ำรอการระบายอยู่หลายจุด เรามันขาเดินเที่ยว ดู Google Map ระยะทางของสถานที่ท่องเที่ยวกับที่พักไม่ได้อยู่ไกลกันมากตั้งใจว่าจะเดินไปเอง แต่ก็ไปไม่ได้ เสียดายมาก ดังนั้นเรามีหน้าที่รอเพื่อนคุณพี่มารับพาเที่ยวอย่างเดียวเลย สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ จะอยู่ตรงบริเวณถนนราชดำเนิน ถ้าอากาศดีดี ฝนไม่ตก การเดินเที่ยวถ่ายรูปดูวิถีผู้คนตามถนนราชดำเนินน่าจะเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินสำหรับคนชอบถ่ายรูปอย่างเรา แต่ว่าวันนี้ฝนตกปรอยๆ นั่งรถวนไปค่ะ

จุดแรกวันนี้ กุฏิไม้ร้อยปีวัดวังตะวันตก เราเดินไปถึงก็แอบอึ้งนิดๆ ที่หน้ากุฏิมีป้ายบอกเล่าประวัติความเป็นมา เราเห็นประตูเปิดแง้มอยู่ เลยลองเปิดๆ ไปดู ปรากฏว่าเป็นกุฏิที่มีการใช้งาน สีกาอย่างเราก็แอบถ่ายได้แต่ตรงประตูทางเข้า เพราะด้านในไม่มีใครอยู่เลย กุฏิไม้ก็งดงามอยู่พอสมควร หากมีการดูแลมากกว่านี้ คงน่าสนใจมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจของกุฏิไม้นี้เป็นหน้าบัน ลายแกะสลักรอบๆ กุฏิ


เจดีย์ยักษ์ สวนพระเงิน / ศาลหลักเมือง
เจดีย์ยักษ์ สวนพระเงิน
เจดีย์ยักษ์ สวนพระเงิน เราเดินมาจากวัดวังตะวันตกมานิดเดียวก็ถึงเจดีย์ยักษ์ เราแอบอึ้งนิดหน่อยเพราะมีขยะกองต้อนรับเราที่หน้าเจดีย์เลย หญ้าสูง เราเข้าไปกราบพระพุทธรูปหน้าเจดีย์ แล้วก็เดินวนรอบเจดีย์ดูความใหญ่โต เดินไปก็ก้มดูพื้นไป กลัวไปเหยียบสัตว์เลื้อยคลาน เดินเสร็จออกมาดอกหญ้า ลูกหญ้ากลมๆ มีหนามติดตามแข้งขาเราเต็มไปหมด รู้สึกเหมือนได้ผจญภัยเล็กๆ 555 ป้ายบอกความเป็นมาหน้าเจดีย์ก็เกรอะกรัง ดูแล้วขลังดี สำหรับประวัติเจดีย์ที่เราอ่านจากป้ายและค้นคว้าเพิ่มเติม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราว พ.ศ.1800-1900 หน้าเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปปั้นสมัยอยุธยา เรียกว่าพระเงินหรือหลวงพ่อเงิน นอกจากนี้ยังมีตำนาน ว่ากันว่าเจดีย์นี้ยักษ์เป็นผู้สร้างสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราช โดยยักษ์ท้าพระเจ้าศรีธรรมโศกราชในการสร้างเจดีย์ ระหว่างเจดีย์ยักษ์นี้กับเจดีย์พระบรมธาตุ สร้างแข่งกันว่าใครสร้างสวยกว่าและเสร็จก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ ถ้ายักษ์แพ้จะไม่ขัดขวางในการสร้างเมืองและสร้างพระบรมธาตุ แต่ถ้ายักษ์ชนะจะจับกินคนในเมืองทั้งหมดรวมถึงพระเจ้าศรีธรรมโศกราชด้วย แน่นอนว่าพระเจ้าศรีธรรมโศกราชชนะยักษ์ 555 ยักษ์เลยเหวี่ยง โมโห โกรธ ถีบยอดเจดีย์กระเด็นไปตกกลางทุ่งทางทิศตะวันออก (ปัจจุบันคือกองอิฐหน้าโรงพยาบาลหมอจำรัส) เมื่อยักษ์แพ้ก็รู้สึกขายหน้าและออกจากเมืองไป ตำนานเจดีย์ยักษ์นี่สนุกสนานดีแท้ มีป้ายบอกเรื่องนี้สักหน่อย น่าจะสร้างรอยยิ้มให้ผู้มาเยือนอย่างเราได้ไม่ยาก



ศาลหลักเมือง
จากนั้นเจ้าถิ่นก็ขับรถพาเรามากราบศาลหลักเมืองเป็นสิริมงคลในการเดินทาง ศาลหลักเมืองดูใหม่มาก อยู่ตรงกลาง และมีอาคารเล็ก 4 หลัง อยู่รายรอบทั้ง 4 ทิศ เรียกว่า ศาลจตุโลกเทพ (พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระพรหมเมือง และพระบันดาลเมือง) องค์เสาหลักเมืองทำด้วยไม้ตะเคียนทอง ส่วนบนของเสาเป็นรูปจตุคามรามเทพ (สี่พักตร์) หรือเทวดารักษาเมือง บานประตูทั้ง 4 ทิศ ของศาลหลักเมือง มีการสลักดุนวิจิตรสวยงามมาก


สระศรีปราชญ์ / กำแพงเมืองเก่า
สระศรีปราชญ์
ข้ามถนนจากศาลหลักเมืองมา เจ้าถิ่นก็พาเราไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช พาเราไปชม “สระศรีปราชญ์” บริเวณนั้นมีอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์ และสระล้างดาบศรีปราชญ์ ตามตำนานเล่าว่า ศรีปราชญ์กวีเอกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ถูกเนรเทศมานครศรีธรรมราช ต่อมาเกิดมีเรื่องขัดแย้งกับเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จึงถูกสั่งประหาร โดยเพชฌฆาตได้นำดาบที่ประหารศรีปราชญ์มาล้างที่สระแห่งนี้ สำหรับอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิด ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2552 ข้างอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์มีกลอนที่มีชื่อเสียงของท่านที่แต่งเอาไว้ก่อนโดนประหาร สมกับเป็นนักกวีเอกจริงๆ
กำแพงเมืองเก่า
มาเมืองคอนคราวนี้ชุ่มฉ่ำมาก เสร็จจากชมสระศรีปราชญ์ เจ้าถิ่นก็ขับรถมาจอดแถวๆ กำแพงเมืองเก่า โดยให้เราลงไปถ่ายรูป เราก็รีบถ่าย รีบวิ่งขึ้นรถ ห่วงลูกชาย Olympus นี่ถ้าฝนไม่ตก บริเวณนี้น่าเดินเล่นมาก กำแพงเมืองได้รับการบูรณะอย่างดี ดูสะอาดตา
หอพระนารายณ์ / หอพระอิศวร / บ้านท่านขุน
หอพระนารายณ์
หอพระนารายณ์ โบราณสถานศาสนาพราหมณ์ เราได้ชมแต่เพียงภายนอก จากที่ได้ข้อมูลมาภายในหอมีเทวรูปพระนารายณ์สลักจากหินทรายสีเทาทรงหมวกรูปกระบอกปลายสอบและพระหัตถ์ขวาทรงสังข์ จัดได้ว่าเป็นเทวรูปที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หอพระอิศวร
ตรงข้ามกับหอพระนารายณ์ คือ หอพระอิศวร ด้านหน้าหอมีเสาชิงช้า ข้างๆ หอมีพื้นที่ขุดค้นทางโบราณคดี แน่นอนว่าเราได้ดูแค่ด้านนอก เราเองก็ลงไปดูด้วยตาละห้อย ถ่ายรูปแล้วก็วิ่งขึ้นรถ สงสารกล้อง วันนี้เมืองคอนรวยน้ำฝนจริงๆ
บ้านท่านขุน
ฝนเริ่มตกหนัก เราเดินทางมาถึงบ้านท่านขุน เราออกจากรถท่ามกลางฝนตกหนัก ตะโกนถามคนในบ้านท่านขุน ได้รับคำตอบมาว่า ไม่เปิด เพราะหลังคารั่ว ไม่สามารถเปิดให้เข้าชมได้ เราเลยได้แต่ถ่ายภาพด้านนอกมาให้ชม
อาหารกลางวันร้านเมืองคอนเส้นสด
ได้เวลาอาหารกลางวัน ฝนที่ตกหนัก ก็หยุดแล้ว เจ้าถิ่นพาเราไปกินขนมจีนที่ร้านเมืองคอนเส้นสด ดูตามภาพประกอบแล้วกันค่ะ เรากินอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับผักที่เสริฟมาเป็นถาดใหญ่ ผักแปลกตา เรายัดใส่ปากลองไปหมด มาถึงที่นี่เจ้าถิ่นนัดเพื่อนมาสมทบอีกรวมเป็น 7 คน สั่งขนมจีนชุดใหญ่มา 2 ชุด ไก่อบ หมูทอด 2 จาน ทอดมันกุ้ง ขนมอีก 2 ถ้วย โอเลี้ยงอีก 3 แก้ว ทั้งหมดนี่ประมาณหกร้อยกว่าเท่านั้น แน่นอนว่าเราไม่ได้จ่ายตังส์ ยกมือไหว้ผู้มีอุปการะคุณอีกครั้งค่ะ


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
อิ่มท้องแล้วก็มาต่อ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช มาถึงเจ้าหน้าที่บอกว่าเปิดเป็นบางส่วนเพราะหลังคารั่ว กำลังย้ายโบราณวัตถุบางส่วน เราเลยชมได้ไม่หมดทุกส่วน ค่าเข้าชมชาวไทย คนละ 30 บาท ถูกแสนถูก การจัดแสดงแบ่งแยกเป็นส่วนต่างๆ มีการจัดวางจัดแสงดูทันสมัย มีวีดีทัศน์ให้เราได้ชมเป็นจุดๆ ถ้าอยากรู้จักนครศรีธรรมราชมากขึ้น ควรมาแวะชมที่พิพิธภัณฑ์ แล้วจะรู้ว่าประวัติความเป็นมาของนครศรีธรรมราชมีมาอย่างยาวนานจริงๆ






วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
มาเมืองคอนต้องมาที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โบราณสถาน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีพระบรมธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ เราเคยมาที่นี่ครั้งแรกตอนมาเที่ยวคีรีวง เมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นมาก็กำลังบูรณะตอนนี้ก็กำลังบูรณะอยู่ เสร็จเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้ แต่ก็เข้าใจได้ การบูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ชมภาพกันเพลินๆ กันไปค่ะ




อนุสาวรีย์วีรไทย (พ่อจ่าดำ)
อนุสาวรีย์วีรไทย หรือที่ชาวเมืองนครฯ เรียกกันว่า พ่อจ่าดำ ตั้งอยู่ภายในค่ายวชิราวุธ รูปปั้นของอนุสาวรีย์ เป็นรูปทหารยืนจับปืนติดดาบ เตรียมแทง ดูเท่ห์มาก อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของทหารและยุวชนทหารที่พลีชีพกว่า 116 นาย ที่ต่อสู้ข้าศึก (ญี่ปุ่น) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีรายนามจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ทั้ง 6 ด้าน สำหรับพ่อจ่าดำนั้นมีเรื่องเล่า พ่อจ่าดำมีชื่อจริงว่า จ.ส.อ.ดำ สุขะชีวิน ได้ทำการสู้รบแบบประจันหน้ากับทหารญี่ปุ่น ขณะที่ทำการรบจ่าดำได้อมพระไว้ในปาก เพื่อให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้ การสู้รบครั้งนั้นจ่าดำได้ฆ่าทหารญี่ปุ่นได้เป็นจำนวนมาก จ่าดำได้ต่อสู้แบบไม่กลัวตาย จนกระทั่งจ่าดำได้ตะโกนด่าทหารญี่ปุ่นไปทำให้พระร่วงออกจากปาก หลังจากนั้นจ่าดำก็ถูกยิงเสียชีวิต บริเวณฐานของอนุสาวรีย์ได้บรรจุอัฐิของทหารที่เสียชีวิตในการรบ และในทุกวันที่ 8 ธันวาคม กองทัพภาคที่ 4 มีการจัดงานวันวีรไทย เพื่อแสดงความเคารพและรำลึกวีรกรรมความกล้าหาญของทหาร
ตลาดเสาร์อาทิตย์ / เดินทางกลับ
วันนี้วันเดียวได้เที่ยวทั่วเมืองคอน เสียดายอย่างเดียว วันที่เราไปแม้จะเป็นวันเสาร์ แต่ตลาดนัดหน้าพระธาตุที่ปกติต้องมี ทางการได้แจ้งงดไป เพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ที่เราโรงแรม พักผ่อนนอนหลับ เย็นออกมาหาอะไรกินตรงหน้าโรงแรมนั่นแหล่ะ มีหลายร้านให้เลือก ชาบู ติ่มซำ กาแฟ แมคโดนัล บิงชู เราเดินตามเจ้าถิ่นไปกิน ขอบคุณเจ้าบ้านที่เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี
วันนี้กลับบ้านแล้ว เรากลับเที่ยวบินตอนเที่ยง เราตื่นเช้ามาตลาดเสาร์อาทิตย์ อยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก ออกจากที่พักไปหน้าปากซอยเลี้ยวซ้าย เดินไปไม่ไกลก็ถึงแล้ว แต่พอดีมีรถสองแถวบีบแตรเรียก เรากลัวพี่เขาเสียน้ำใจเลยขึ้นไปค่าโดยสาร 10 บาท ตลาดเสาร์อาทิตย์มีของกินเพียบ เราเดินไปถ่ายรูปไป อะไรที่แปลกๆ ไม่เคยกินก็ลองซื้อกลับมากินที่โรงแรม ถ้าเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหน เราชอบไปตลาดตอนเช้า ไปดูว่าเขากินอยู่อย่างไร พ่อค้าแม่ค้าที่นี่น่ารักดี เห็นเราเป็นคนประหลาดเดินถือกล้องถ่ายรูปโน่นนี่ก็ทักทาย มาจากไหน มาทำอะไร กลับเมื่อไหร่ น่าเอ็นดูกันทุกคน เรากลับที่พักไปกินอาหารเช้า เก็บของ เจ้าถิ่นมารับเราไปสนามบินพร้อมกับมีของฝากติดไม้ติดมือให้เราด้วย น่ารักจริงๆ



มาเมืองคอนทุกครั้งอบอุ่นทุกครั้ง คนที่นี่หน้าตาดูดุๆ พูดห้วนๆ แต่ใจดีทุกคน ขอบคุณเจ้าถิ่นใจดี พี่ดิว พี่จ๋า พี่โจ้ พี่เดียร์ พี่พีพร พี่อ้น น้องเจ้นท์ พาเที่ยว พากิน ที่สำคัญเราเห็นความภาคภูมิใจในความเป็นคนเมืองคอนของเจ้าถิ่นผู้ใจดีทุกท่านผ่านการพาเที่ยวพากินในครั้งนี้ ขอบคุณมากค่ะ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าจ้า
กลับลำนี้
บ๊ายบายเมืองคอน

ผู้มีอุปการะคุณในทริปนี้ ขอบคุณค่ะ