ไปเที่ยว กาญจน์ มั้ย? | นอนชิลกลางน้ำที่มัลดีฟส์เมืองไทย ณ รักน้ำ รีสอร์ท

Ruknam Resort (รักน้ำรีสอร์ท) จ.กาญจนบุรี

Bestie Wanderer

July 3, 2017, 2:29 PM July 3, 2017, 2:47 PM

ไปเที่ยว กาญจน์ มั้ย? | นอนชิลกลางน้ำที่มัลดีฟส์เมืองไทย ณ รักน้ำ รีสอร์ท

มาตะลอนเที่ยวไปกับเรา #คู่ซี้ตะลอนโลก www.facebook.com/bestiewanderer   

7 เหตุผลที่น่าไปเที่ยวที่ "รักน้ำ รีสอร์ท กาญจนบุรี"

ฝนตกพรำๆแบนนี้ นี่มัน " ฤดูกาญจน์ " แล้วใช่มั้ยเนี่ยยยย~

เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศชุ่มฉ่ำตอนนี้... เราจะพาไปนอนชิลกันที่... "ก า ญ จ น บุ รี" รอบนี้เน้นไปพักผ่อนอยู่ ที่ รักน้ำรีสอร์ท Ruknamresort Kanchanaburi 2 วัน 1 คืน

รักน้ำรีสอร์ท เป็นรีสอร์ทที่ออกแบบสไตล์รีสอร์ทกลางน้ำมัลดีฟส์ บรรยากาศธรรมชาติ มีเนินเขา ต้นไม้ขนาดใหญ่ ตกแต่งสวยงามล้อมรอบด้วยผืนน้ำกว้าง ใสสะอาด เหนือเขื่อนศรีนครินทร์ รีสอร์ทนี้เป็นที่รู้จักดีและเป็น bucket list ของใครหลายคนที่จะมาเที่ยวกาญจนบุรี

ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่าที่นี่บรรยากาศดีต่อใจแค่ไหน... แล้วทำไมมันดีจนหลายคนเรียกที่นี่ว่า #มัลดีฟส์เมืองไทย?

1. ไปทานอาหารเช้าข้างบ่อปลาคาร์ฟนับร้อยๆตัว

สิ่งแรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ บ่อปลาคาร์ฟ ของรักน้ำรีสอร์ท ที่เหมือนจะเป็นอีกหนึ่งจุดขายของที่นี่ บ่อปลาคาร์ฟที่เห็นในรูป จะอยู่ข้างๆห้องอาหาร ที่เราทานอาหารเช้ากัน ตรงบริเวณข้างบ่อปลาคาร์ฟจะมีที่นั่งประมาณ 8-10 โต๊ะ และนอกนั้นจะอยู่ด้านใน ถ้าใครอยากนั่งริมบ่อปลาเลยแบบนี้ ต้องไวหรือรอจังหวะโต๊ะว่างกันหน่อยเนาะ

2. ไปเล่นสไลเดอร์ให้มันส์ระเบิด

ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน หรือโดยเฉพาะเด็กๆ พอเห็นสไลเดอร์ที่นี่ก็ต้องอยากลองเล่นกันสักครั้งแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสไลเดอร์จากบนเนินที่ไหลปรื้ดเดียวก็ลงน้ำไปเลย หรือจะเป็นแบบเป่าลมที่มีความท้าทายให้เราปีนกัน ลองชวนชาวแก๊งค์ที่มาด้วยมาทำ mission แข่งกันปีนเจ้าสไลเดอร์นี้ดูสิ เห็นดูเหมือนธรรมดาแบบนี้ ปีนยาก โหดเอาเรื่องอยู่นะจ๊ะ กิจกรรมนี้บริการฟรีสำหรับผู้เข้าพักด้วยจ้า

3. ไปพายเรือคายัก ชิลๆรอบรีสอร์ท

ไม่ว่าคุณจะมากับเพื่อน มากับแฟน หรือมากับครอบครัว กิจกรรมนี้ย่อมถูกใจหลายคนแน่นอน เพราะนอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้สนุกไปกับบรรยากาศของสายน้ำอย่างแท้จริง ท้าแข่งพายคายักกับเพื่อน กับชาวแก๊งค์ ก็มันส์ไปอีกแบบ และที่สำคัญกิจกรรมนี้ฟรีอีกแล้วจ้า

4. ไปนอนแช่น้ำคลายร้อน

อย่างที่เห็นกันในรูปว่า ห้องพักส่วนใหญ่ของที่นี่ จะอยู่กลางน้ำ กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ก็คือ เล่นน้ำ อ่ะเนาะ และเพราะตรงนี้เป็นน้ำที่อยู่ในเขื่อน เลยทำให้น้ำนิ่งนอนแช่ ลอยเกาะห่วงยางกันได้เพลินๆ แต่บางช่วงลึกเลยนะ เล่นกันอย่างระมัดระวังด้วยจ้า

5. กินลมชมวิวให้หนำใจ

ช่วงสายๆบ่ายๆถ้าเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมต่างๆก็พักบ้างอะไรบ้างเนาะ แต่ขนาดนอนพักอยู่ในห้อง นอกจากจะมีแอร์เย็นๆแล้ว บ้านกลางน้ำยังมีกระจกบานใหญ่ที่เราสามารถมองเห็นวิวได้จากบนเตียงเลยทีเดียว! หรือจะเดินเล่นรอบรีสอร์ท ขึ้นไปดูวิวรีสอร์ทจากมุมสูงสักหน่อยก็สวยไปอีกแบบนะ

6. ชมพระอาทิตย์ตกสวยๆจากบนแพ

ถ้ามาพักที่รีสอร์ทนี้ ไม่ต้องไปหาที่ชมพระอาทิตย์ตกที่ไหนไกลๆเลยค่ะ ดูกันบนแพนี่แหละ ถ้าอากาศเป็นใจ ฟ้าใส ไม่มีเมฆบัง รับรองว่าได้เห็นวิวปังๆฟ้าสวยๆแบบนี้แน่นอน

7. ไปล่องแพดินเนอร์ กลางเขื่อน

อีกหนึ่งไฮไลท์บรรยากาศฟินเวอร์ของที่นี่คือ ทุกเย็น ทางรีสอร์ทจะมีการใช้เจ็ทสกีลากแพออกไปกลางเขื่อน ให้เราๆได้นั่งทานข้าวกันไป ชมวิวกันไป ได้ทานอาหารอร่อยๆท่ามกลางลมพัดเย็นๆเบาๆกลางน้ำกันแบบนี้... หาไม่ได้จากที่ไหนบ่อยๆน๊า ลองเปลี่ยนสไตล์การท่องเที่ยวจากนอนกลางดินกินกลางทราย มาเป็นนอนกลางน้ำกินกลางเขื่อนกันสักวันก็ relax ดีเหมือนกันนะคะ

สำหรับใครที่อยากไปพักผ่อน ชาร์จแบตให้ร่างกายสักวันสองวัน...  รักน้ำรีสอร์ทก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเลยล่ะค่ะ

รักน้ำรีสอร์ท กาญจนบุรี 

พิกัด: ตั้งอยู่เหนือเขื่อนศรีนครินทร์ ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี

แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางครั้งต่อไปของเรา #คู่ซี้ตะลอนโลก เร็วๆนี้นะคะ

ติดตามอ่านรีวิวอื่นและดู VDO ท่องเที่ยวแบบฉบับสองสาวคู่ซี้ได้ที่ช่องทางด้านล่างนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/bestiewanderer/

อพท. พาเที่ยว….สองแผ่นดินถิ่นบูรพา เส้นทาง "ตราด - เกาะกง"

อำเภอคลองใหญ่ (Khlong Yai District) จังหวัดตราด จ.

theTripPacker

July 3, 2017, 2:35 PM July 3, 2017, 2:47 PM

อพท. พาเที่ยว….สองแผ่นดินถิ่นบูรพา เส้นทาง "ตราด - เกาะกง"

นอกจาก เกาะช้าง เกาะกูด เกาะหมาก แล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงนึกไม่ค่อยออกว่า “จังหวัดตราด” มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจอีก.... คราวนี้เราเลยจะพาไปทำความรู้จักกับ “จังหวัดตราด” ในมุมที่แตกต่างออกไป

การเดินทางในครั้งนี้ เรามีผู้ใหญ่ใจดีอย่าง “อพท. ตราด” พาเที่ยว รับรองว่ามีเจ้าบ้านพาเที่ยวแบบนี้ ต้องมีทีเด็ดที่ไม่ซ้ำใครแน่นอน

มาถึงจังหวัดตราดแล้ว แน่นอนว่าเราก็ต้องมาทำความรู้จักประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวตราดกันเสียก่อน

พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด

อาคารไม้ทรงปั้นหยา ถูกปรับแต่งจากศาลากลางจังหวัดหลังเก่าให้กลายมาเป็น “พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด” ภายในอาคารจัดเป็นห้องนิทรรศการเล่าเรื่องต่าง ๆ ของเมืองตราด ตั้งแต่ลักษณะภูมิศาสตร์, ทรัพยากรธรรมชาติ, วัฒนธรรม, กลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่, ประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์สมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองตราด, การพระราชทานพระแสงราชศาสตราประจำเมือง และเหตุการณ์ยุทธนาวีเกาะช้าง ซึ่งนิทรรศการแต่ละห้องก็จัดตกแต่งไว้อย่างน่าสนใจมาก ๆ

ชีวิตช้าๆ ที่ ‘ Casa de La Flora ‘ พูลวิลล่าติดหาด เขาหลัก จ.พังงา

เขาหลัก พังงา จ.พังงา

Ping Pitchaya

July 3, 2017, 2:44 PM July 3, 2017, 2:47 PM

ชีวิตช้าๆ ที่ ‘ Casa de La Flora ‘ พูลวิลล่าติดหาด เขาหลัก จ.พังงา

ถ้าถามว่าไปเที่ยวเขาหลัก จ.พังงา พักที่ไหนดี ?

ปิงว่า Casa de La Flora เป็นโรงแรมที่น่าสนใจเลยแหละ

ปิงเพิ่งไปพักมาอาทิตย์ก่อนนี่เอง สวยจริงไรจริงงง

ห้องพักเป็นแบบพูลวิลล่าทั้งหมด แถมอยู่ติดหาด

เดินลงทะเลได้เลย การันตีความดีงามด้วยการติดอันดับ

1 ในโรงแรม hot list ปี 2012 จาก Conde Nast Traveller,

Asia Pacific Hotel Awards 2013 และ Thailand (rank #5)

of The Traveller’s Choice Awards 2017 จาก Tripadvisor

ได้รางวัลเยอะขนาดนี้ อยากเห็นหน้าตาโรงแรมแล้วล่ะสิ

งั้นไปดูกันเลยยยยยยยยยยยย : )

( ใครขี้เกียจอ่านรีวิวทั้งหมด เลื่อนไปดูประเมินภาพรวมตอนท้ายได้เลย )

ขอเล่าก่อนว่า Casa de La Flora แปลว่า บ้านแห่งดอกไม้

รอบโรงแรมจะมีไม้ดอกไม้ประดับเต็มไปหมดดดด

ให้ความรู้สึกสดชื่น ที่สำคัญคือวิลล่าทั้ง 36 หลัง

ถูกตั้งชื่อตามดอกไม้มงคลที่ใช้ในพระราชพิธี

โดยเพื่อนๆสามารถเลือกกลิ่นตกแต่งในห้อง

และกลิ่นครีมอาบน้ำได้ ตอนเช็คอิน <3

รอบนี้ปิงพักที่ห้อง Duplex Grand Pool Villa ค่ะ

ดอกไม้ประจำห้องปิงคือดอกโมก เป็นพูลวิลล่า 2 ชั้น

มีสระว่ายน้ำในตัว และ มีขนาด 82 ตารางเมตร

ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น ชั้นบนเป็นห้องนอน

ตรงกลางบ้านเป็นห้องอาบน้ำ มีทั้งแบบ Bath และ Shower

ซึ่งไม่มีผนัง บานเลื่อน หรือ กระจกกั้นเลยยยยยยย

กะให้คนมาสวีทกันงี้ แต่นี่ไปกับเพื่อนไง

เพื่อนอาบน้ำทีเราก็ต้องซุกตัวใต้ผ้าห่ม5555555

อย่างที่เห็นคือ โทนสีในห้อง จะเน้นไปที่เทา และ น้ำตาล

มีสีฟ้าแทรกบ้าง อย่าง หมอน ผ้าเช็ดตัว เสื้อคลุมว่ายน้ำ

ตกแต่งแบบเรียบๆ แต่ดูรวมๆแล้วมีความ luxury

ระบบไฟฟ้าในห้องค่อนข้างไฮเทค แต่ก็ไม่ได้ใช้ยากอย่างที่คิด

ครบเซ็ตเลยยยย น่าร้ากกกกกกก

ห้องนอนก็จะเรียบๆค่ะ มีแค่เตียง ทีวี และ ชั้นวางของ

ที่ชอบคือการตื่นมาแล้วเห็นวิวทะเลเลยยยยยย มันดี !

ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมนิดนึง เกี่ยวกับห้องพักของที่นี่

Casa de La Flora มีห้องพักทั้งหมด 8 แบบ คือ

1. Grand Pool Suite ( 128 ตร.ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น )

2. Beachfront Pool Villa ( 70 ตร.ม. 1 ห้องนอน )

3. BeachFront Suite Pool Villa ( 100 ตร.ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น )

4. Casa Pool Suite ( 83 ตร.ม. 1 ห้องนอน )

5. Beachfront Grand Pool Villa ( 145 ตร.ม. 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น )

6. Duplex Grand Pool Villa ห้องที่ปิงพัก

7. Duplex Pool Suite ( 90 ตร.ม.1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น )

8. Studio Pool Villa ( 70 ตร.ม. 1 ห้องนอน )

ทุกห้องมีสระว่ายน้ำในตัว และ ห้องแบบที่ 7,8 ไม่เป็น Sea View

ราคาเริ่มต้น 7,500 บ. รวมอาหารเช้า Service Charge และ VAT

คุ้มมากสำหรับการพักผ่อนริมทะเลในพูลวิลล่าส่วนตั๊วส่วนตัววว

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.casadelaflora.com/

หรือ https://www.facebook.com/casadelaflora

สำรวจห้องตัวเองจนทั่วแล้วววว เราไปดูรอบโรงแรมกันบ้าง

อย่างที่บอกคือห้องพักที่นี่เป็นพูลวิลล่าทั้งหมด

และด้วยความที่มีแค่ 36 หลัง ทำให้การมาพักผ่อนที่นี่ไพรเวทมากๆ

เหมือนเดินอยู่ในหมู้บ้านริมทะเลที่ดีไซน์เริ่ดกว่าหมู๋บ้านอื่นๆ55555

ภาพอาจจะหม่นๆหน่อย เพราะเราไปช่วงหน้าฝน

แต่มันก็ยังสวยนะรับประกัน ข้อดีอีกอย่างของการไป

เที่ยวทะเลหน้า Low คือ ได้ห้องพักราคาถูกลง

แต่ความดีงามเท่าเดิม แถมไม่ต้องแย่งกันกินแย่งกันเที่ยว

เหมือนหน้า High ด้วย เอ้อ เกือบลืมบอกไป

Casa de La Flora ตั้งอยู่ริมหาดบางเนียง ในเขาหลักนี่แหละ

เพื่อนๆสามารถเช่ารถจากสนามบินภูเก็ตมาได้เลย

ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ค่ะ

มาต่อกันที่สระว่ายน้ำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่

มันดีมากแกรรรรรรรร มันหันหน้าเข้าทะเลลลล มันชิลเว่อร์

บริเวณสระว่ายน้ำมีบาร์เครื่องดื่มให้บริการด้วย

สั่งคอกเทลมาจิบกับแฟนตอนดูพระอาทิตย์ตกคือดี

นอกจากสระว่ายน้ำแล้ว Casa de La Flora ยังมีส่วนกลางอื่นๆอีก

ได้แก่ ห้องอาหาร La aranya, Meeting Room, Library และ Spa

ใครอยากนวดตัว นวดหน้า สามารถจองได้ที่ https://goo.gl/uoRmrc

แต่ตอนนี้เราไปดูหน้าตาส่วนกลางกันดีกว่าาาาา เริ่มที่ห้องอาหาร : D

ต่อด้วย Meeting Room และ Library

เก็บตกบรรยากาศรอบๆที่พักอีกสักนิด

แล้วเราไปทานมื้อเย็นที่ห้องอาหารริมทะเลกันนะ

เมนูที่เราสั่งคือราดหน้าทะเล และ แกงเขียวหวานปูนิ่ม

บอกเลยว่าอร่อยทั้งคู่ หมึกเป็นหมึก กุ้งเป็นกุ้ง หอยเป็นหอยยย

ชิ้นใหญ่และสดมากกกกกกกก สมราคา

คนที่ไม่ได้เข้าพักที่นี่ก็สามารถเข้ามาทานอาหารได้น้า

นอกจากอาหารแล้วเขายังมี Cocktail แบบ mixology อีกด้วย

ราคาไม่แพงเลยเทียบกับบรรยากาศของที่นี่ รู้สึกจะเริ่มต้น 190 บ.

สบายละคืนนี้ กินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาเจออาหารเช้าอร่อยๆอีก

อยากชีวิตดีแบบนี้ ตามมาค่ะ555555555

ประเมินภาพรวมของ Casa de La Flora เขาหลัก จ.พังงา

ด้วยเกณฑ์ดีมาก ดี ปานกลาง น้อย น้อยมาก ( คะแนน 5 – 1 )

1. ความสวยงามของที่พัก : 4

2. ความสวยงามของห้องพัก : 5

3. การถ่ายทอด concept ออกมาเป็นดีไซน์ : 4

4. โลเคชั่น : 5

5. การบริการของพนักงาน : 5

6. รสชาติอาหาร : 5

ใครกำลังมองหาพูลวิลล่าที่มีดีไซน์ มีความเป็นส่วนตัว

และอยู่ติดทะเล ปิงว่าที่นี่เป็น Choice ที่น่าสนใจ <3

เป็น 2 วัน 1 คืนที่ได้พักผ่อนจริงๆ ตอนเช็คเอ้าท์ก็รู้สึกว่า

มันคุ้มกับค่าเสียหายนะ แต่ทริปของเรายังไม่จบค่ะ

วันนี้เราจะไปเที่ยวกันต่อที่น้ำตกตำหนัง ในอุทยานแห่งชาติศรีพังงา

ห่างจากที่พักไปประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่

ที่ทิ้งตัวลงมาจากหน้าผาหิน เหมาะแก่การเล่นน้ำมาก

ถ้าพร้อมแล้ว ไปลุยกันเลยยยยยยยยย : )

จากที่จอดรถ เราต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร

ถึงจะเจอน้ำตกค่ะ โชคดีทริปนี้เรามีไกด์ส่วนตัวผู้ช่ำชองเส้นทาง

นั่นก็คือพี่ต๊ะ แอดมินสุดชิคจากเพจ surfer’s holiday

ไปๆๆๆ เดินตามพี่ต๊ะ หมาไม่กัด5555555555

ถึงแล้วววววววววววว น้ำตกตำหนัง

นอกจากเป็นน้ำตกที่ขนาดใหญ่มากแล้ว

ยังเป็นน้ำตกที่ไหลแรงมากด้วยยยยยยย

ไม่รู้เพราะช่วงที่เราไปฝนตกหนักด้วยรึเปล่า

น้ำเลยแรงมากๆ โชคดีที่บริเวณแอ่งน้ำไม่ลึก

ไม่งั้นนี่คงโดนน้ำซัดไปไหนแล้วไม่รู้

ใครมาเที่ยวพังงาแนะนำนะคะน้ำตกนี้ สวยจริง

จบแล้วชีวิตดีๆ 2 วัน 1 คืน ที่ Casa de La Flora เขาหลัก จ.พังงา

หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยกระตุ้นต่อมอยากพักผ่อนของเพื่อนๆได้น้า

ติดตามรีวิวอื่นของเราได้ที่ http://blissoutthere.com/

เข้ามาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/BlissOutThere/

หรือจะเที่ยวไปพร้อมๆกันบน story ใน IG : blissoutthere ก็ได้

ทริปนี้ลาไปก่อนนน สวัสดีค่าาาาาาาาาา : )

ไต่ถนนงู ไปดูหมอก ที่ "เขาค้อ-ภูทับเบิก"

ภูทับเบิก (Phu Tub Berk) จ.เพชรบูรณ์

Bestie Wanderer

July 3, 2017, 2:50 PM July 6, 2017, 3:12 PM

ไต่ถนนงู ไปดูหมอก ที่

มาตะลอนเที่ยวไปกับเรา #คู่ซี้ตะลอนโลกwww.facebook.com/bestiewanderer 

ตอนนี้เริ่มมีฝนพรำมาหลายวัน ทำให้เราคิดถึงทริปเขาค้อ-ภูทับเบิก ที่พวกเราไปกันมาเมื่อต้นเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว วันนี้เราจะขอมารีวิวให้ดูสักนิดหน่อยว่า ไปหน้าฝน ก็เจอหมอก แถมคนน้อยกว่า จองที่พักง่ายกว่าช่วงหน้าหนาวด้วยนะ

ดูวิดีโอ กดตรงนี้

Day 1:  - ขับรถจากรุงเทพ ไปเขาค้อ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง  - นอนเต็นท์ติดแอร์แค่คนละ 600 บาทที่ เดอะ ฮิลล์ เขาค้อ The Hills khaokho  - ดูพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ

Day 2:  - ตื่นเช้าไปดูหมอกหน้าเต็นท์และจุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ  - ขับรถไปชมวิวที่ไปรษณีย์เขาค้อ  - แวะดื่มกาแฟร้าน The Pug Coffee เขาค้อ  - เช็คอินเข้าโรงแรมที่ภูทับเบิก

Day 3:  - ตื่นตีห้าไปรอดูหมอกที่จุดชม #ทะเลหมอกภูทับเบิก แต่แห้ว กว่าหมอกจะมาปาเข้าไปเกือบ 11 โมงจ้า

Day 1: กรุงเทพฯ - เขาค้อ

เราตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหา "ทะเลหมอกในตำนาน" เห็นรูปมาก็เยอะ เพื่อนไปมาก็แยะ เลยอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองนักว่าหมอกมันจะเยอะขนาดนั้นจริงหรอ เริ่มจากขับรถจากกรุงเทพฯ ไปที่เขาค้อ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง บอกเลยว่าพึ่ง google map ล้วนๆ ดีที่มันไม่พาเข้าป่าหลงไปไหน! 5555555

คืนแรกเราเข้าพักที่ เดอะฮิลล์ เขาค้อ เลือกนอนเต็นท์ติดแอร์ ราคาตอนนั้นคือ คนละ 1,200 บาท รวมอาหารเช้า หรือตกคนละ 600 บาทเท่านั้นเอง ที่พักอยู่ใกล้ชุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ อีกหนึ่งจุดชมหมอก และพระอาทิตย์ตก ที่สวยที่สุดอีกจุดหนึ่ง

อ่านรีวิวที่พักที่นี่แบบเต็มๆได้ที่ > https://th.readme.me/p/8731

ช่วงเย็นเราก็ขับรถไปชมพระอาทิตย์ตกที่เขาตะเคียนโง๊ะ ห่างจากโรงแรมประมาณ 15 นาที จุดนนี้เราสามารถมากางเต็นท์นอนได้ด้วยนะ สำหรับคนที่ลุยๆหน่อย เราว่าเหมาะเลย ประหยัดด้วยหละ

Day 2: เขาค้อ - ภูทับเบิก

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จที่รีสอร์ท เราก็เริ่มขับรถจากเขาค้อไปภํทับเบิก ระว่างทางมีแวะ เติมพลังเรียกความสดชื่นที่ร้านกาแฟ The Pug Coffee กันสักหน่อย ร้านจะตกแต่งไปด้วยน้องหมาพันปั้ก จากที่นั่งทานนวิวต้นไม้ วิวภูเขา ดูเขียวสบายตา

ด้านในจะมีที่นั่งประมาณสิบกว่าโต๊ะ มีทั้งพวกชา กาแฟ นมสด เค้ก เบเกอรี่ต่างๆ หรือพวกอาหารอย่างพาสต้าก็มีนะคะ

อิ่มแล้วก็ได้เวลาไปวะกันต่อ จุดหมายต่อไปเราแวะ "ไปรษณีย์เขาค้อ" มาดูวิวไปรษณีย์ที่ชิลที่สุดสักหน่อย บริเวณตรงนี้มีที่ให้กางเต็นท์ด้วย แต่เราไม่แน่เรื่องราคาว่าฟรีหรือต้องเสียเท่าไหร่ ต้องโทรสอบถามทางไปรษณีย์อีกทีนะ

ถ้าเป็นช่วงที่หมอกลง จุดนี้ก็คงจะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยมากๆแน่ๆ

ทางขึ้นภูทับเบิก ระยะทางประมาณเกือบ 20 กิโลเมตร ทางถือว่าชันเลยหละ มีโค้งคดไปคดมาเยอะมาก จนหลายคนเรียกถนนที่นี่ว่า "ถนนงู" ถนนเป็นแบบสองเลนสวนกัน ระหว่างทางขึ้นภู ก็มีฝนตกเป็นระยะๆ ตกนิดๆหน่อยๆไม่ถึงกับหนักมากจนขับรถไม่ได้ แต่ต้องขับอย่างระมัดระวังมากๆนะคะ ไม่แซงปุบปับและไม่ขับเร็วเกินไป ปลอดภัยไว้ก่อนเนาะ

พอไปถึงที่พักก็ราวๆ 4 โมงเย็นได้ เราเลยกินข้าวกินปลา และชิลอยู่ในห้อง กะว่าคืนนี้จะนอนเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นมาดูหมอกกะเค้าซะหน่อย (ขอไม่บอกชื่อที่พักที่นี่แล้วกันนะคะ เพราะเค้าปิดไปแล้ว)

มาที่นี่ต้องไม่พลาดเมนูกะล่ำปลีต่างๆค่ะ เพราะเค้าปลูกกันสดๆเต็มสองข้างทาง สดกรอบหวานมากๆ

Day 3: ชมทะเลหมอกภูทับเบิก

เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้าเพื่อจะขึ้นไปดูทะเลหมอกที่จุดชมวิว (เรามีโอกาสที่จะเจอทะเลหมอกเพราะว่าเมื่อวานฝนตก) แต่จะร้องไห้จ้า มันหรอมแหรมมาก โชคไม่ดี หมอกไม่ลงหนาขนาดในรูป เรานี่เกือบถอดใจกลับกรุงเทพฯกันเลย...

แปดโมงกว่าแล้วหมอกยังไม่มา แต่ก็ยังต้องฟินไว้ก่อนค่ะ ขับรถมาไกล 5555555

แต่หลังจากที่เราเดินเล่น และนั่งกินอาหารเช้าไปพลางๆแถวๆนั้น ประมาณเกือบ 10 โมงหมอกก็เริ่มมาเยอะสมใจอยากแล้วจ้า! ณ ตอนนั้น ผู้คนฮือฮาดีใจ รีบไปถ่ายรูปกันใหญ่ เราก็เช่นกัน 5555

ช่วงนั้นทุกคนต่างตั้งใจกันถ่ายรูป และพุ่งเข้าหาหมอกกันใหญ่ ก็เรามาเพื่อสิ่งนี้กันนี่เนาะ อิอิ

ก่อนลงจากภูทับเบิก ก็พลาดไม่ได้ที่จะแวะถ่ายรูปกับไร่กะหล่ำปลี ที่ปลูกเรียงรายเต็มสองข้างทาง ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของที่นี่ และก็มีร้านขายกะหล่ำปลีสดๆจากไร่ รวมถึงร้านอาหารที่ทำเมนูต่างๆจากกะหล่ำปลีให้เราลิ้งลองกัน

ทริปดูทะเลหมอกเป็นอะไรที่คาดหวังได้ยาก แล้วแต่ดวงและสภาพอากาศวันนั้นๆ ว่าจะเป็นยังไง ทำใจเผื่อไว้ล่วงหน้าด้วยเด้อ สำหรับการมาเที่ยวที่นี่ เราว่ามันให้อะไรมากกว่ามาดูหมอก เราได้มาพักผ่อนกับธรรมชาติจริงๆ ต้นไม้มีความเขียวชอุ่ม แค่ได้กลิ่นไอฝนปนกับไอหมอก ก็ดีจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วหละ... แล้วพบกันใหม่เร็วๆนี้นะเขาค้อ ภูทับเบิก :) 

ติดตามอ่านรีวิวอื่นและดู VDO ท่องเที่ยวแบบฉบับสองสาวคู่ซี้ได้ที่ช่องทางด้านล่าง

Facebook: https://www.facebook.com/bestiewanderer/

Frist Time@Chiang Mai ความประทับใจไม่รู้ลืม

ท่าแพ เชียงใหม่ จ.

Jutatip Lhamoon

July 3, 2017, 3:53 PM July 6, 2017, 3:12 PM

เที่ยวเชียงใหม่ครั้งแรกของคนไม่มีรถส่วนตัว กับงบ 2500 บาท

เพิ่งเขียนรีวิวเป็นครั้งแรกน่ะคะ หากผิดพลาดแต่ประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่ด้วยน่ะคะ แหะๆ ส่วนใครชอบกระทู้แบบไม่เวิ่นเว่อต้องขอประทานอภัยให้ท่ายกดข้ามไปได้เลยค่ะ หรือจะกดปิดไปก็แล้วแต่ใจเลยน่ะคะ 5555

ที่มามาของการเที่ยวครั้งนี้ คือการอยากพักผ่อนย่อนใจหลังเรียนจบและเจอกับโปรเจคที่แสนหนักหนาสาหัส และมีตั๋วเครื่องบินของแอร์เอเชีย ที่จองด้วยโปรราคาแสนถูกไปกลับไม่เกิน 500 บาท แหมะจะรอไรล่ะคะ กายพร้อมใจพร้อมก็ไปกันเลยยยยย แต่เดี๋ยวววน่ะ มีตังค์ทั้งตัวแค่ 2500 อยู่ 4 วัน 3 คืนจะรอดมั้ยนิ...

DAY 1

เริ่มต้นทริป โดยการนั่งรถเมล์ รถเมล์สาย A2 จากจัตุจักรไปสนามบินดอนเมือง และด้วยความที่บ้านนอกแท้เลยจ้า เพิ่งขึ้นเครื่องจากดอนเมืองครั้งแรก แล้วรถเมล์ไปส่งฝั่งเดินทางออกนอกประเทศ งง เลยจ้าต้องทำไงต่อ เลยไปสอบถามเจ้าหน้าที่ เจ้าที่บอกให้เดินไปทางฝั่งขวาของอาคาร ก็จะเจอกับ ฝั่งผู้โดยสารภายในประเทศ

แล้วยังไงต่อล่ะนิเมื่อเดินมาแล้ว... ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่ต่อเลยจ้าาาาาา เจ้าที่เอ๊ยเจ้าหน้าที่บอกว่าให้ไปพิมพ์บุ๊คด้วยเครื่องได้เลยยย เครื่องไหนฟร่ะ? สายตาเลยเหลือไปเห็นตู้ที่มีลักษณะคล้ายตู้เกม เลยคิดว่าใช้จึงใส่รหัสในการสำรองที่นั่ง น่าตาตู้ก็เป็นแบบนี้แหละจ้า 

จากนั่นเราก็ได้ตั๋วมา เลยเดินเข้าไปรอในเกตเลยดีกว่าาาาาา หมายเลขเกตในดูตรง Gate No. น่ะคะสำหรับคนขึ้นเครื่องครั้งแรก

เมื่อได้ตั๋วมาก็นั่งรอไปค่ะ มาถึงตั้งแต่ 8 โมงเครื่องขึ้น 10.30 น. เผื่อเวลาสุดๆเลย 5555

หลังจากนั่งรอจนแทบจะหลับ ก็ต้องสะดุ้งเฮือกกับเสียงประกาศเรียกชื่อ ขอเชิญคุณ....โดยด่วนค่ะ แทบกริ๊ดค่ะคือความรู้สึกเหมือนโดนเรียกชื่อหน้าเสาธง คือความจริงเขาให้ไปรอก่อนเวลาขึ้นเครื่องที่หน้าเกตน่ะคะ ไอเราขึ้นรั้งแรกกันไง เอ๋อเลยยย แต่ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่องเป็นผู้โชคดีสองคนสุดท้าย 555555

จากกรุงเทพไปเชียงใหม่ก็ใช้เวลาไม่เกิน ชั่วโมงครึ่ง เรียกว่าตดไว้บนเครื่องยังไม่ทันหายเหม็นก็ถึงแล้วค่ะความรู้สึกเหมือนนั่งรถจากอนุเสาวรีย์มาพระรามสองยังไงยังงั้นเลย 5555

นั่นไงเห็น เธอเห็นภูเขานั่นมั้ย ฉันเก็บเอาไว้ให้เธออออออออ ฮัมเพลงที่เกิดไม่ทันเบาๆ 555 แหมะก็คนมันตื่นเต้นนิคะ นานๆทีจะเห็นภูเขาเขียวๆสักครั้งแถมเป็นการขึ้นเครื่องด้วยตัวเองครั้งแรก แถมด้วยการมาเชียงใหม่ครั้งแรกโอ้ยบอกไม่ถูกเลยคุณขาาาาา

ภูเขาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา อร๊ายยยยยยยยยยย แล้วไงต่อ.....

ที่พักคืนแรกพักที่ท่าแพคะ แต่จะไปที่พักยังไงนิ จะเริ่มที่ตรงไหนนิ ไปทางไหนนิ อ่านในพันทิปเค้ามีรถโดยสารประจำทางราคาถูกนิเป็นรถตู้ 40 บาทวิ่งจากสนามบินไปตัวเมือง ให้เดินออกจากประตูสนามบินเดินไปทางขวาจนสุดทาง เราก็เดินไปเลยค๊าาาา เดินไปปุ๊ปเจอรถตู้เลยสอบถามลุงที่นั่งแถวนั่น 

ฉัน: ไปท่าแพมั้ยค่ะ 

ลุง: เหมาไปหรอ 300 บาท

ฉัน: ไม่เหมาค๊าาา ที่ลุงติดป้ายไว้ไง 40 บาท

ลุง: อ่อ มันไม่มีแล้วไม่มีคน นี้เป็นรถเหมา ไปนั่งรถแดงประจำทางเอาน่ะโบกเอา

ฉัน: ขอบคุณค่ะ

สุปว่าต้องโบกรถแดงหน้าสนามบินแทน เดินไปเจอรถแดงเยอะมากกกก จะนั่งคันไหนดี ปรากฏมีลุงคนนึงมองมาและส่งสายตาเชิญชวน เลยรีบเข้าไปถาม "ไปท่าแพมั้ยคค่ะ" ลุงพยักหน้า เราเลยกำชับไปเลยจ้า 30 บาทน่ะลุง ลุงบอกคนล่ะ 40 เอาก็เอาว่ะ 555  เค้าว่ากันว่าจะขึ้นรถแดงให้บอกสถานที่ไป อย่าถามราคาไม่งั้นเขาจะรู้ว่าเราไม่รู้ราคาอาจจะโดนโกงหรือโดนเรียกาคาเหมาได้ แต่ไปในตัวเมืองไม่ควรเกิน 50 บาทน่ะจ๊ะ 40 นี้พอรับไป ไอโอเค 5555 ขอโทษน่ะค่ะที่ไม่ได้ถ่ายรูปรถแดงไว้ แต่คิดว่าถ้าเพื่อนๆไปเชียงใหม่ต้องเจอรถแดงในตำนานแน่ๆเพราะเหมือนกันหมดทุกคัน และมีเยอแยะมากมายในตัวเมือง 5555

และแล้วก็มาถึงที่พัก คืนแรกพักที่ กมลา เกสท์เฮาส์ ท่าแพ จองที่พักด้วยอโกด้า โดนไป 370 บาทมาสองคน คนล่ะ 170 บาทถือว่าโอเคเลยยยย แต่มีค่ามัดจำกุญแจ 500 บาท ซึ่งจะคืนตอนเช็คเอาท์ออกน่ะค่ะ

สภาพที่พักเตียงนอนสะอาดค่ะ แต่ไฟในห้องสว่างน้อยไปนิสนึง  มีห้องน้ำในตัวค่ะ มีเครื่องทำน้ำอุ่น ยาสระผม สบู่ ไดร์เป่าผม มีทีวีเคเบิ้ล ถือว่าโอเคกับราคาเท่านี้เลย ให้คะแนน 8/10 คะแนน

มาถึงที่พักก็เที่ยงพอดี ท้องก็ร้องสิค่ะ ต่อไปก็ต้องไปหาที่กินกัน เลยเดินออกจากที่พักค่ะเดินไปตามทาเรื่อยเจอร้านก๋วยเตี๋ยวกระดูกหมู เป็นร้านข้างทาง กลิ่นนี้หอมโชยยยมาแต่ไกล เลยตรงเค้าไปสั่งเลยคะ เอาเกาเหลาหมู ข้าวเปล่าสองค่ะ

นี้คือสภาพเกาเหลาหมูค่ะ ที่เห็นพริกแดงๆนี้ปรุงเพิ่มน่ะคะ เอาให้แซบเลยทีเดียว รสชาติถือว่าโอเคเลยน่ะคะรสชาติกลางๆพอปรุงแล้วอร่อยแซบเลย ทั้งหมดนี้สนนราคาเพียง 50 บาท ขอย้ำเกาเหลาเต็มอิ่มข้าวเปล่าสองถ้วย 50 บาทเท่านั่น!!! ให้คะแนนไปเลยค่ะ 8/10 พิกัดร้านอยู่ ถนนราชวิถี หน้าปากซอยติดกับถนนใหญ่มีธนาคารไทยพาณิชย์ ร้านอยู่ตรงข้ามวัดดอกเอื้องเดินเลยวัดดอกเอื้องไป 50 เมตร ก็จะถึงร้านแล้วค่ะ

เมื่อท้องอิ่มก็พร้อมตลุยวัดในบริเวณท่าแพกันเลยยยย ซื่งขอบอกเลยน่ะค่ะว่าวัดในบริเวณประตูเมืองนี้มีเยอะมากกก  ดูได้จากในแผนที่ แต่ก็ยังมีวัดอีกมากมายที่ไม่ปรากฏในแผนที่ 

ซึ่งพาหนะที่เราใช้ตะลุยวัดในครั้งนี้นั่นก็คือจักรยานนั่นเอง ซึ่งเช่ามาในราคา 50 บาทขับได้ทั้งวันเลยค่ะ ซึ่งตอนที่เช่า เช่าในตอนบ่าย คุณลุงบอกว่าสามารถนำมาคืนพรุ่งนี้ได้ เพราะถ้าคืนวันที่เช่าจะยังไม่ครบ 24 ชม. ค่ามัดจำ 1,000 เช่า 2 คันจ่ายไปทั้งหมด 1,100 ถ้านำจักรยานมาคืนลุงก็จะคืนค่ามัดจำให้ทันทีเลยค่ะ ร้านลุงชื่อร้าน Mr.Beer รถเช่าซึ่งอยู่เลยร้านก่วยเตี๋ยวไปหน่อยนึงคุณลุงน่ารักใจดีค่ะ นี้เป็นภาพร้านลุงจากกูเกิ้ลแมพค่ะ แหะๆ

 นี้เป็นโฉมหน้าของจักยานคู่ใจไปไหนไปกันค่าาาาาาาา  ^ ^ 

งั้นก็เริ่มตะลุยวัดไปด้วยกันเลยยย ต้องบอกมาน่ะที่นี้น่ะค่ะว่าทุกวัดไปง่ายไม่มั่นใจให้เปิดกูเกิ้ลแมพ แต่ไม่ต้องกลัวค่ะเพราะวัดที่นี้จะอยู่ติดๆกัน ถือว่าขับจักรยานทัวร์ได้สบายๆ มีรูปวัดมาให้ชมกัน แต่อาจจะไม่ได้แนะนำวัดกับชื่อวัดน่ะค่ะเพราะว่ามีเยอะมากเลยเก็บข้อมูลมาไม่ครบถ้วน ภาพอาจจะสีสันต่างกนหน่อยน่ะคะเพราะถ่ายด้วยกล้อง Dslr กับกล้องโทรศัพท์ Huawei GR5 Premium

นี้เป็นวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เป็นวัดที่มีความสวยงามมากกก ถ้าเพื่อนๆไปเที่ยวเชียงใหม่ไม่ควรพลาดวัดนี้ด้วยน่ะคะ

นี้เป็นศาลหลักเมืองที่ตั้งอยู่ในวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ผู้หญิงห้ามเข้าน่ะคะ ส่วนคุณผู้ชายสามารถเข้าได้แต่ต้องกายสุภาพเรียบร้อยเพื่อเป็นการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองคะ

วัดสุดท้ายที่จะแวะกันคือวัด พระสิงห์ค่ะ

พอทัวร์วัดรอบเมืองเสร็จ ก็กลับมาพักผ่อนกันก่อน เพื่อจะรอตลาดไนท์บาร์ซ่าเปิด ไนท์บาร์ซ่าจะเปิดประมาณทุ่มนึงจนถึงเที่ยงคืน ซึ่งจากท่าแพสามารถเดินไปไนท์บาร์ซ่าได้ โดยระยะทางประมาณ 1 โลกว่าซึ่งถือว่าไม่ไกลมาก ก่อนถึงไนท์บาร์ซ่าจะมีตลาดวโรรส ตลาดวโรรสจะอารมณ์เหมือนตลาดทั่วๆไปมีของขายของกินราคาถูกอารมณ์เหมือนตลาดใหน้างานวัดนั่นแหละคะ

ภาพที่เห็นเป็นส่วนนึงของตลาดไนท์บาร์ซ่าน่ะค่ะ ซึ่งไนท์บาร์ซ่าจริงๆมีหลายตรอกซอกซอยมากกกก แต่ของขายส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายกันเป็นของพื้นเมืองของฝาก และงานศิลปะ ถูกใจชาวต่างชาติ ส่วนใครที่ชอบงานศิลป์ของพื้นบ้านเชิญมาที่ตลาดไนท์บาร์ซ่ากันเลยค่าาาา ไม่ควรพลาดดดเป็นอันขาดดดด

พอเดินตลาดไนท์บาร์ซ่ากันเสร็จอาหารมื้อเที่ยงก็เริ่มย่อย ระหว่างทางเดินกลับที่พักเลยแวะเติมอาหารกันเสียก่อนเพื่อเพิ่มพลังงานในการเดินทางกลับที่พัก ซึ่งอาหารมื้อเย็นในวันนี้ก็เป็นก๋วยเตี๋ยวบะหมี่หมู น้ำซุปแสนอร่อย สนนราคาเพียง 40 บาทในปริมาณอิ่มท้องแถมสบายกระเป๋ากันเลยทีเดียว

จากนั่นก็กลับที่พักพักผ่อนตามอัธยาศัยเพื่อไปลุยกันต่อในวันพรุ่งนี้เลยค่าาาาาาา ส่วนใครที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะพักท่าแพดีมั้ย? บอกเลยว่าพักที่ท่าแพคุ้มค่ามากกกกกกก ที่เที่ยววัดวาอารามสวยงามอร่ามตาของกินที่พักราคาถูก แถมวันเสาร์อาทิตย์มีถนนคนเดิน แต่ช่วงที่ไปเป็นวันธรรมดา แต่ท่าแพก็ยังคงเป็นที่พักที่ดีมากจริงๆน่ะเธอว์

DAY 2 

วันนี้เราเช็คเอาท์จาก กมลา เกสท์เฮ้าส์ เวลา 08.00 น. และเดินทางโดยจักรยานไปพักกันที่ จูเนียร์ เฮาส์ ในราคา 300 บาท ใกล้ขนส่งช้างเผือก และคิวรถสองแถวไปดอยสุเทพแถวประตูช้างเผือก  ทางจูเนียร์เฮาส์ให้เข้าพักในเวลา 14.00 น. เราเลยฝากสัมภาระ และออกไปคืนจักรยานกับทางร้านลุง

ระหว่างทางเลยหาร้านอาหารกินข้าวเช้า ไปเจอร้านอาหารตามสั่ง เลยสั่งกระเพราปลาหมึกไข่ดาว และข้าวกระเทียมหมูไข่ดาวพิเศษ โค้ก 1 ขวดน้ำแข็งเปล่า 2 ทั้งหมดนี้สนนราคาเพียง 110 บาท แต่เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปร้านมา แต่ที่เขียนเพื่อยืนยันว่าอาหารที่เชียงใหม่อร่อยถูกคุ้มราคาแน่นอนนนนนนค่าาาา

วันที่สองเราวางแผนกันว่าจะไปเที่ยวดอยสุเทพกัน โดยไปขึ้นรถจากประตูช้างเผือก โดยไป-กลับดอยสุเทพในราคา 80 บาท แต่พอดีว่ามีนักท่องเที่ยวขึ้นพระตำหนักภูพิงค์ เราเลยติดสอยห้อยตามๆขึ้นไป ไปกลับในราคา 160 บาท

ซึ่งพอขึ้นไปถึงพระตำหนักภูพิงค์แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆเพราะอากาศข้างบนเย็นกว่าข้างล่าง อากาศประมาณยี่สิบกว่าๆองศา พร้อมวิวธรรมชาติและดอกไม้นานาพรรณที่ออกดอกสวยงามหลายหลายสีสัน ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มทั่วบริเวณถ้าจะบรรยายเป็นคำพูดคงไม่หมดงั้นไปดูภาพกันเลยจ้าาาาาา

รถสองแถวจาแวะตำหนักภูพิงค์ 1 ชม.และลงไปต่อที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ และปล่อยให้แวะอีก 1 ชม.ครึ่งจากนั่นจะพาเรามุ่งหน้าสู่ประตูช้างเผือกที่เราขึ้นรถมานั่นเองจ้าาาาาาา แต่การขึ้นลงรถไปเที่ยวทุกครั้งควรจำป้ายทะเบียนรถหรือหน้าคนขับให้ดี เพื่อเวลาที่เรากลับมาขึ้นรถจะได้นั่งรถคันเดิมในกรณีที่เราจ่ายแบบเที่ยวไป-กลับน่ะจ๊ะ

ภาพบรรยากาศวัดพระธาตุดอยสุเทพก็งดงามไม่แพ้กัน

พอแวะดอยสุเทพเสร็จก็รู้สึกเมื่อล้า บวกกับเป็นเวลาเที่ยงพอดี เลยคิดว่าควรจะหาอะไรแวะเติมพลังกันซักหน่อย เลยเดินหาร้านอาหารแถวๆตลาด ก็ได้มาลงเอยกับร้านข้าวซอย เลยสั่งข้าวซอยกับหนมจีนน้ำเงี้ยว รสชาติของข้าวซอยอร่อยใช่ได้ แต่ขนมจีนน้ำเงี้ยวจืดไปนิสนึงแต่โดยรวมถือว่าโอเค เอาคะแนนไป 7.5 คะแนน ราคาก็จานล่ะ 40-50 บาท ถือว่าไม่ถูกไม่แพงแถมอิ่มท้องกับปริมาณจุใจด้วยจ้า

หลังจากอิ่มท้อง อิ่มอกอิ่มใจกับที่เที่ยวและอาหารแล้ว เราก็เดินไปขึ้นรถเพื่อกลับไปประตูช้างเผือกเพื่อเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนซึ่งทริปในวันนี้ถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปเพียง 160 บาทค่าพาหนะ ถือว่าประทับใจมาก ให้คะแนนกับเที่ยวดอยสุเทพไปเลย 10/10 กันเลยจ้าาาาาา

เมื่อกลับมาที่พักเราก็ได้เวลาเช็คอินเข้าที่จูเนียร์เฮาส์ ซึ่งสภาพห้องก็ถือว่าโอเคกับราคา 300 บาท ไปสองคนก็ตกคนล่ะ 150 บาท ห้องกลางเก่ากลางใหม่ มีห้องน้ำในตัว แต่ห้องค่อนข้างเหม็นอับ พระลมเพดานเสียคะเลยร้อนไปหน่อย แต่ดีที่มีพัดลมตั้งโต๊ะมาหนึ่งตัว แต่คนที่ดูแลที่พักอัธยาศัยดีค่ะ แนะนำที่ท่องเที่ยวได้ค่อนข้างดี ยิ้มแย้มแจ่มใสให้การต้อนรับดีมากกกก เอาคะแนนไป 7 คะแนน

พอถึงที่พักก็ได้เวลาพักผ่อน เพื่อชาร์ตแบตไปลุยกันต่อที่ดอยอินทนนท์ในวันพรุ่งนี้เลยจ้าาาาาาาา

DAY 3

อาหารเช้าของเราในวันนี้ก็เป็นขนมปังเซเว่นพร้อมนมและน้ำเปล่า ราคา 40 บาท เสร็จเราจะไปตะลุยดอยอินทนนท์กัน ซึ่งมากันสองคนและไม่ใช่ช่วงเทศกาลเลยปรึกษากันว่าจะนั่งรถบัสไปลงพระธาตุศรีจอมทอง และหาสองแถวต่อไปดอยอินทนนท์กันดีมั้ย เพราะอยากจะไปแม่กิ่วปาน พอสอบถามรถสองแถวปรากฏแม่กิ่วปานเปิดเดือนพฤศจิกายนจ้าาาาาา แห้วเบยยย เลยถามราคาเหมารถสองแถวเที่ยวดอยอินทนนท์ ปรากฏก็สู้ราคาไม่ไหวค่ะ เลยค้นหาทัวร์ราคาถูกกันดูก่อน ปรากฏไปเจอทัวร์ของ เชียงใหม่ ดี.ดี.ทัวร์ 

ข้อมูลทัวร์  http://www.tawanclub.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1450823

ซึ่งทัวร์ดอยอินทนนท์นี้ตกคนล่ะ 700 บาทชาวไทยน่ะค่ะ อาหารกลางวันเสร็จสรรพ มารับ-ส่งถึงโรงแรมที่พัก

ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาเลยทีเดียว โดยรถตู้จะมารับ 08.00-08.30 น. ตามจุดที่เรานัดหมาย และส่งถึงที่พักในเวลาเย็น 17.30 น.

สถานที่ในทริป

เรามาชมภาพบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวกันเลยดีกว่า

เริ่มต้นด้วยที่แรกน้ำตกวชิรธาร ซึ่งเป็นน้ำตกที่ธรรมชาติและสวยงามมมากค่ะ ทัวร์ให้เวลาแวะครึ่งชั่วโมงเพราะสถานที่ไม่กว้างมาก 

ที่ต่อไปคือ พระสถูปเจดีย์ จุดสูงสุดของประเทศไทย ​ซึ่งพอมาถึง ณ จุดๆนี้ต้องบอกเลยว่าอากาศค่อนข้างต่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เลยทีเดียว ซึ่งอากาศบนนี้เหลือเพียง 19 องศา และบรรยากาศที่เขียวชอุ่มชุ่มชื่นมากๆ โดยมองรวมๆแล้วมีสเน่ห์เหลือเกินอยากจะอยู่ที่นี้ไม่อยากลับกรุงเทพฯแล้ววววววว 555

นี้คือพระสถูปเจดีย์ โดยภายในมีหมุดจริงที่บอกจุดสูงสุดปรเทศไทยอยู่ค่ะ

สถานีต่อไปคือ พระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิสิริ แลนด์มาร์กของดอยอินทนนท์ ซื่งเป็นสถานที่ที่สวยงามมากกกกกก ปกคลุมด้วยทะเลยหมอกก พอเไปถึงแล้วบอกได้เลยว่าหนาววมากกกสวยมากกกกก ที่นี้คือประเทศไทยจริงๆหรือออ ประทับใจสุดๆไปเลยค้าาาาาาา

ต่อไปก็พักทานอหารกลางวันซึ่งรวมอยู่ในทริปไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจ้าาาาาา ซึ่งอาหารมื้อนี้ก็ถือว่าเด็ดมากกกกก ได้ร่วมโต๊ะกับชาวต่างชาติด้วย เขามาจากฝรั่งเศษ น่ารักดีค่ะ

สถานีต่อไปน้ำตกสิริธาร เป็นน้ำตกที่มีความเป็นธรรมชาติมากรอบข้างเต็มไปด้วยป่าไม้สวยงาม และเต็มไปด้วยน้องหนอนบุ้งเต็มต้นไม้เลยยยยยย

ทางเข้าน้ำตกร่มรื่นสวยงามเลยทีเดียว

สถานีต่อไปคือหมู่บ้านชาวเขาจ้าาาาา

เมื่อก่อนที่ตรงนี้เคยเป็นนาขั้นบันได ตอนนี้เหลือแต่ขั้นบันไดแล้วคะ 5555 แต่ก็ยังคงความสวยงามธรรมชาติไว้ให้เห็นอยู่น่ะคะ

พอจบสถานที่นี้ก็ถือว่าสิ้นสุดทริป ต้องขอขอบคุณ เชียงใหม่ ดี.ดี. ทัวร์ ทัวร์คุ้มค่าคุ้มราคา พี่คนขับกับพี่ไกด์น่ารักมากกกกกก ไม่ได้ค่านายหน้าน่ะค่ะ แต่ของเค้าดีจริงเลยอยากบอกต่อค่ะ

นี้คือพาหนะที่พาเราตะลุยดอยอินทนนท์

สิ้นสุดทริปดอยอินทนนท์  คืนนี้เรามาพักกันที่นิมมาน ที่ Sleepyoho โดยที่พักที่จองไว้ใน Booking.com ราคา 450 บาทสองคนก็ตกคนล่ะ 225 บาท ที่พักบรรยากาศน่ารัก ตกแต่งสวยงามและห้องดูสะอาดสะอ้านสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน มีแอร์ ไดร์เป่าผม ทีวีแอลซีดี อยู่ย่านนิมมานสะดวกสบาย แต่เสียอย่างไม่มีห้องน้ำในตัวค่ะเป็นห้องน้ำรวม ให้คะแนนที่พักไปเลยค่ะ 9/10 คะแนน

พอเข้าที่พักเสร็จก็ออกเดินทัวร์นิมมาน สถานที่ในนิมมานส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารน่านั่งแต่เราเน้นประหยัด เลยแวะกินร้านข้างทางไป เสร็จแล้วก็ไปเดินต่อที่ห้างมายานิมมาน

จากนั่นก็เข้าที่พัก พักผ่อนย่อนใจเพื่อเตรียมตัวกลับในวันพรุ่งนี้คะ

DAY 4

เช้าวันที่สี่ ก็เตรียมตัวเก็บของเก็บกระเป๋าเช็คเอาท์ออกจากที่พักเวลา 11.00 น. พอดีเสียพลังงานจากการเที่ยวไปเยอะเลยนอนชาร์ตแบตเต็มที่และเพื่อประหยัดอาหารเช้า 55555 โดยรู้ว่าทางไปสนามบินมีวัดสวนดอกอยู่เลยวางแผนไปวัดสวนดอกโดยการเดินไปคะ ค่อนข้างไกลเลยทีเดียว 555 กะเดินไปพักระหว่างทางคะ เที่ยวบินออกตอน 14.30 น. เลยวางใจชิลๆไปเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้องค่ะ พอออกจากที่พักเลยเดินออกไปหากินกัน โดยไปสะดุดกับร้าน สุดยอด@นิมมาน

มาดูกันว่าจะสุดยอดสมชื่อหรือเปล่า https://www.facebook.com/BahmiSubKraduknimman/

โดยเมนูที่สั่งมี ต้มแซ่บกระดูกหมู กับ ยำไข่ ข้าวเปล่าสองจาก

ซึ่งกับข้าวมาพร้อมมมมมม ป๊าดดดดไรมันจะจานใหญ่น่ากินขนาดนี้ กลิ่นก็ห้อมหอม เอ๊ดูจากรูปจะอร่อยรึเปล่า ต้องลองชิมกันเลยดีกว่าาาาา ม่ะเริ่มมม พอตักน้ำซุปต้มแซ่บเข้าปากเท่านั่นแหละ โอ้ยยยยยยยย มันอร่อยมากเลยค่ะคุณผู้โชมมมมม มันกลมกล่อมอย่างบอกไม่ถูก อร่อยนุ่มลิ้นมากกก รสชาติคือลงตัวสุดๆ เป้นต้มแซ่บที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาเลย ไม่ได้อวยน่ะคะ อยากให้มาลองกัน เมนูต่อไปคือยำไข่ค่ะ ยำไข่นี้รสชาติเด็ดไม่แพ้กัน แซ่บมากกก กลมกล่อมนุ่มลิ้นอีกเช่นเคยยย รสมาครบตามสเต็ปยำขอบอกว่าสุดยอดมากทั้งสองเมนู อยากให้ทุกคนไปลิ้มลองกันอย่าหาว่าคุยเลยน่ะคะ เอาไปเลย 10/10

ดูจากภาพเป็นเครื่องนอนยันได้เลยค่าาาาาาาา ว่าของเค้าดีจริง อร่อยจริงแม้แต่น้ำก็ซดไม่ให้เหลือ 555

จากนั่นก็เดินทางไปวัดสวนดอกกันเล้ยยยยยยยย การเดินทางก็เปิด GPS จากโทรศัพท์แล้วใช้สองขาเนี้ยแหละคะเดินไป 

ระหว่างทางมีวิวสวยให้ชมกันนนน สวยจริงๆน่ะเธอเชียงใหม่เนี่ยยยยย

ถึงแล้วค่ะวัดสวนดอก ทำเอาหอบแฮะได้เลยทีเดียว ต้องเข้าไปนมัสการองค์พระประธานกันก่อนเลยค่ะเพื่อให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

วัดสวนดอกเป็นที่สุดท้าย จากนั่นเราก็มุ่งหน้าไปสนามบินเพื่อนั่งเครื่องกลับกรุงเทพ โดยการเดินทางไปสนามบิน เราได้ใช้บริการของ Grap Taxi เรียกแท็กซี่มารับไปส่งสนามบิน โดยใช้โค้ดที่รู้มาจากพี่ที่ดูแลที่พัก โค้ด cmfree ลดราคาไป 100 บาท เดินทางไปถึงสนามบินในราคาแค่ 17 บาทเองค่าาา

ถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่แล้ว ก็รอเวลาขึ้นเครื่องค่ะ มีบรรยากาศในการขึ้นเครื่องกลับมาให้ชมกัน

สุดท้ายนี้บัยบายเชียงใหม่ ประทับใจไม่มีวันลืมจริงค่ะ ฉันรักเชียงใหม่ ^ ^ ไว้มีโอกาสจะมาอีกแน่นอนนนนนน

สรุปที่เที่ยว 4 วัน 3 คืน

วันแรก

รวมวันแรกตกคนล่ะ 345 บาท

วันที่สอง

รวมวันที่สองตกคนล่ะ 470 บาท

วันที่สาม

รวมวันที่สามตกคนล่ะ 1,025 บาท

วันที่สี่

รวมวันที่สี่ 67 บาท

ค่าเครื่องไปกลับคนล่ะ 480 บาท จองโปรกับแอร์เอเชียร์ จองเมื่อปีที่แล้ว 

รวมค่าใช้จ่าย/คน ทั้งหมด 2,427 บาท 4 วัน 3 คืน ถ้าไม่นับค่าเครื่องก็มีคากินค่าใช้เพิ่มขึ้นจ้าาาาา

1 ทริป 120 บาท หนีกรุง ไปเดินเตะฝุ่น รถไฟสายน้ำตก กาญจนบุรี

ไทรโยค@กาญจนบุรี จ.Chang Wat Kanchanaburi

เดิน เตะ ฝุ่น ( Walk Kick Dust )

July 3, 2017, 4:23 PM July 6, 2017, 3:12 PM

หนีกรุง ไปเดินเตะฝุ่น รถไฟสายน้ำตก กาญจนบุรี

แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่น้ำตก  

พูดถึงเมืองกาญจนบรี ทุกคน จะคิดถึง อะไร กัน !!! อะไรกันบ้าง คนกาญพูดเหน่อไง

>>> NO NO <<<

ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เดี๋ยววันนี้เจ้าฝุ่น ขออาสาพาทุกคนไปนั่ง รถไฟ กันค่ะ.

ปู๊น ปู๊นปู้นๆๆๆๆๆฉึก ฉัก ฉึก ฉัก จริงแล้ว เจ้าฝุ่นชอบนั่งรถไฟมากๆๆ จริงๆๆแล้วการนั่งรถไฟมีมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่ง ..เพราะ ได้ทั้งชมบรรยากาสข้างทาง ได้ เจอเพื่อนร่วมทางๆๆในการเดินทางแล้ว....วันนี้เลยขอโอกาสลองนั่งรถไฟกลับบ้าน กันดู..ไม่เสียหลายเนอะๆๆๆ..

....  ฟินนั่งรถไฟ วิ่งไปตามรางเหล็ก กรุงเทพฯ ....

นครปฐม กาญจนบุรี

...... นมัสการองค์พระ .....

## สิ่งที่คุณจะได้กลับไป ##

- ทานของคาวหวาน ถ่ายรูปสะพานแม่น้ำแคว

- อธิษฐานขอพรที่หน้าผา

- เล่นน้ำตก

- ไปไหว้พระนมัสการ องค์พระปฐมเจย์

- ไปฟินมนต์เสน่ห์การนั่งรถไฟ แบบประหยัด

## การเดินทางไปกาญจนบุรีไปได้หลายเส้นทาง ##

- ขับรถส่วนตัว = 2 ชม. กรุงเทพ-กาญ

- นั่งรถตู้ สายใต้เก่า,สายใต้ใหม่,หมอชิต

- เจ้าฝุ่น ขอ เลือกนั่งรถไฟไปกลับการรถไฟแห่งประเทศไทย ก็ได้ ไป+กลับ ราคาชั้น 3 พัดลม 120บาท ขากลับ ตั๋วฟรี 0 บาท หรือ ราคาชั้น 2 แอร์ ไปกลับ 240 บาท ก็ได้ค่ะ

## มีบริการทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด ##

ราคาชั้น 3 พัดลมไปกลับ 120 บาท

ราคาชั้น 2 แอร์ ไปกลับ 240 บาท

สนใจสอบถามได้ที่เบอร์ 1690 การรถไฟฯ สถานนีเริ่มจากสถานีกรุงเทพฯ คือหัวลำโพง หรือขอขึ้นปลายทางได้ค่ะและ สามารถรับตั๋วเดินได้ตามสถานีที่ใกล้คุณได้เลยค่ะ ถ้าโทจองควรจองก่อน 5 วัน ที่จะเดินทางนะ 

+++ พร้อมแล้วไปกันเลยค่ะ +++

--- รีบเดินนะค่ะ เดี๋ยวตกรถไฟ ---

--- ที่นั่งของเจ้าฝุ่น ---ให้ดูที่ตั๋ว จะมีบอกทั่ง ขบวน ที่นั่ง โบกี๋ที่เท่าไร ---

#เดินเตะฝุ่น เลือก แบบ ไปกลับแค่ 120 บาท

ขบวน 909 โบกี้ ที่ 1 เลขนั่งที่ 16 ติดริมหน้าต่าง (ห้ามนั่งผิดกันค่ะ )

รถไฟออกเวลา 06:30 น.

สถานีรถไฟหัวลำโพง นั่งตามตั่วที่เราเลือกที่นั่งค่ะ แนะนำเลือกนั่งริมหน้าต่างจะดีมากค่ะ เพราะดูวิวริมข้างทางและมีที่หลับได้ๆๆ555++ ไปคนเดียว ไม่รู้จะซบไหล่ใครก็ซบไหล่ริมหน้าต่างไปนะจ้า

เวลาประมาณ 07:40 น.

รถไฟจะจอดที่แรกคือสถานีนครปฐม เจ้าหน้าของการรถไฟจะแนะนำสถานที่ ของนครปฐม และให้ราไปลงไปไหว้พระนมัสการ องค์พระปฐมเจดีย์เดินไปไม่ไกล หรือลงไปหาเสบียง กั้กใส่ท้องไว้ก็ได้นะค่ะๆ เจ้าหน้าที่การรถไฟให้เวลาเรา 40 นาที ไปพักผ่อนตามอัธยาศัย โดยนัดรวมกันตอน 08.20 น. ทุกคน แล้วเราก็จะเดินทางกันต่อแล้ว

-- เจ้าหน้าที่การรถไฟจะละนัดแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว และนัดเวลา ---

มาเมืองคนงามท่องคำขวัญทบทวนหน่อย --- คำขวัญของจังหวัดนครปฐม ---- “ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวงาม ข้าวหลามหวานมัน สนามจันทร์งามล้น พุทธมณฑลคู่ธานี พระปฐมเจดีย์เสียดฟ้า สวยงามตาแม่น้ำท่าจีน”

--- ระหว่างทางจะเจอขนมหวาน ของคาว จับจองมอง

ไว้ ขากลับต้องซื้อไว้กินบนรถไฟด้วยนะค่ะ --

-- ได้เวลากลับมาที่รถไฟค่ะ มาช้าไม่รอนะค่ะ --

-- เสบียงมื้อนี้ ฝากท้องด้วยข้าวเหนียวหมูหวาน --

--- มันฟินจะกว่านี้ อีกถ้านั่งกินบนรถไฟ --

-- รถไฟจะออกแล้ว .... หลับรอกันไปได้เลยค่ะ ---

รถไฟจะมาถึงเวลา 09.30 น.

ขวบนรถไฟมาถึงสถานีสะพานแควใหญ่ รถไฟจะจอดตรงนี้ เพราะให้เราลงไปถ่ายรูปกับสะพานข้ามแม่น้ำแควค่ะ เมืองกาญจน์ ของประดับขึ้นชื่อ จะเป็นเพชรพลอยเมืองกาญจน์ ให้เวลา 25 นาที และกลับมาที่ขบวน เพื่อเดินทางต่อไป

--- น้องเค้า น่ารักๆๆๆ ทั้งเก่งมีความสามารถๆๆ --

เวลานี้มีแต่--- เพลง เมืองกาญจน์บ้านฉัน ---- ไม่มีเพลงงูนะ 555++ ศิลปิน : ดวงตา คงทอง

บ้านเกิดฉันอยู่เมืองกาญจน์

สดชื่นบานที่เมืองกาญจนบุรี

น้ำตกภูเขา ธรรมชาติมากมี ในสายวารี เพลินดีมีล่องแพ เชิญเถิด

เชิญเที่ยวเมืองกาญจน์ ชมสะพาน ทอดข้ามแม่น้ำแคว ทั้งหนุ่มและสาว เมืองกาญจน์ก็น่าแล

น้ำใจใสแท้ ดุจน้ำแควที่ไหลริน

ตัวฉัน เป็นสาวเมืองกาญจน์ เหมือนดอกไม้บาน ไม่นานเพิ่งพ้นดิน

อกหวิวไหว เมื่อใกล้หมู่ภุมริน

วาบหวิวยามได้ยิน ชายใดมาพูดดี บ้านเกิดฉันอยู่เมืองกาญจน์

สุขสำราญอยู่ที่กาญจนบุรี

แหล่งพลอยสุดสวย ด้วยพลอยน้ำดี. เหมือนสาวกาญจน์บุรี มากมีด้วยน้ำใจ

 ---- แฮ่ไม่เหนื่อยเลย .. สนุกกับการเดินทาง ----

--- ระหว่าง ถ่ายรูปเสร็จเป็นที่เรียบร้อย มานั่งรอสมาชิก ทุกคน

อากาศจะร้อนหน่อย ๆๆ

ขบวนรถไฟเตรียมตัวออกจาก "สะพานข้ามแม่น้ำแคว"

มุ่งหน้าไปสะพานรถไฟสายมรณะ หรือถ้ำกระแซ นั่นเอง

-- ทุกคนจะจับจองมาที่รถไฟของเรา เพื่อถ่ายรูปๆๆ เหมือน ดาราดังเลย ทีเดียว

-- บ้ายบายๆๆๆ --

--- มุมมหาชน รถไฟกำลังเคลื่อนที่ออกจาก สะพานข้ามแม่น้ำแคว ---

-- สวยไมค่ะๆ --

-- โปรดระวังด้วยนะห้ามยืนหน้าออกไป -----

--- ชมวิวข้างทางกันบ้าง --- อย่าเพิ่งหลับกันนะค่ะ --

-- ชมวิว ริมน้ำแพสวนไทรโยค --

​--- บรรยากาศ น่าพักแพสวนไทรโยค ---​

​

ฟินไม .. มาต่อกันที่สถานีถ้ำกระแซ รถไฟจะชะลอความเร็ว เพื่อให้เราได้ชมบรรยากาศสองข้างทาง ฝั่งซ้ายเป็นแม่น้ำ ฝั่งขวาเป็นหน้าผา ตรงนี้เราอยู่บนเส้นทางที่ชื่อว่า "รถไฟสายมรณะ"

--- มุม มหาชน ไฮไลท์ ความเชื่อ ๆๆๆ ก็คือ การเอามือไปแตะหน้าผา ----

---- ภาพอาจจะสั่น หน่อย ๆๆ อยากให้ทุกคนเห็นภาพตาม ---

อธิฐานแล้วอย่าลืมเอามือออกด้วยเดี๋ยวได้แผลกลับไปนะ

สลับให้เพื่อนคนอื่น ด้วยนะค่ะ

--- นั่งต่อไปค่ะ -- สถานีน้ำตก น้ำตกไทรโยคน้อย --

เวลาประมาณเที่ยง 12.00 น.

รถไฟจะมาจอดที่สถานีน้ำตก น้ำตกไทรโยคน้อย ให้เราพักผ่อนหย่อนใจ ทานข้าวทานปลา ส้มตำไก่ย่าง ข้าวเหนียว ก๋วยเตี๋ยวก็ว่ากันไป ฤดูนี้น้ำแล้งนัก หลังจากนั้นนั่งรถ 2 แถวเที่ยว ละต่อไปไม่ไกล คน 20บาท รถจะรอคนจนกว่าเต็มถึงออก

-- เจ้าหน้าที่การรถไฟให้เวลา 3 ชั่วโมง แล้วกลับมาเจอกันอีกที เวลา 15.00 น. ---

รถ 2 แถว จะมาจอดที่นี่ น้ำตกไทรโยคน้อย ขากลับก็มาขึ้นที่เดิม   ถนนด้านหน้าของน้ำตกที่มีร้านค้า ร้านอาหารตั้งเรียงรายอยู่ เป็นร้านอาหารประเภทส้มตำ ไก่ย่าง 2 ฟากฝั่ง จะมีของฝาก มากมาย ขนมยอดฮิตที่ นิยม ต้องซื้อกลับบ้าน กล้วยฉาบ เผือกฉาก มันฉากๆราคาไม่แพงด้วย 5 ห่อ 100 บาท

ทางขึ้นน้ำตกจากนั้นมีทางเดินขึ้นมาข้างบนบนเพื่อชมความสวยงามของน้ำตกไทรโยคน้อย ระหว่าง ทางเดินสั้นๆและให้บริการเช่าเสื่อ สำหรับปูนั่ง พักผ่อน ใต้ร่มเงาต้นไม้

 -- ไปหาเจ้าหน้าที่อุทยานก่อนเลย ---

ตามล่าอุทยาน ต้องบอกว่า น้ำตกไทรโยค มี 2 ทีนะ >> อย่าสับสนกันนะค่ะ <<

โทรโยคน้อย กับ ไทรโยคใหญ่

เราเห็นหัวรถจักรไอน้ำจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทางอุทยานแห่งชาติไทรโยคได้นำมาตั้งไว้ เพื่อระลึกถึงครั้ง สงครามโลกที่มีการสร้างทางรถไฟสายมรณะไปยังประเทศพม่า โดยมีเส้นทางผ่านมาที่บริเวณ

หน้าน้ำตกนี้

--- ถึงแล้วไม่รอช้า ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก สักใบ ---

( น้ำตกไทรโยคน้อย )

( น้ำตกไทรโยคน้อย ) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า น้ำตกเขาพัง เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมาช้านาน เหตุที่ได้ชื่อว่าน้ำตกเขาพัง เพราะเกิดบน หน้าผาหินปูนที่พังทลายลงมาจนเกิดโขดหินปูนลดหลั่นกันอยู่ตรงบริเวณเชิงเขา ต้นกำเนิดเป็นน้ำผุดจากภูเขาแล้วไหลมาตาม ลำธารเล็กๆ ไหลตกลงที่ผาหินปูนที่มีความสูง ประมาณ 15 เมตร แผ่กระจายไปตามพื้นเขาลาดเอียง ภายใต้ร่มเงาของพันธุ์ไม้ นานาชนิดเ ป็นน้ำตกที่มีขนาดไม่ใหญ่มากมีเพียงชั้นเดียว ในฤดูฝนจะมีน้ำค่อนข้างเยอะกว่าฤดูแล้งซึ่งจะไม่มีน้ำ เป็นน้ำตก ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองกาญเพียง 60 ก.ม. ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายหลักซึ่งค่อนข้างเดินทางสะดวก

น้ำตกไทรโยคน้อยเปิดให้บริการทุกวัน การเข้ามาเล่นน้ำตกไม่เสียค่าธรรมเนียม หากต้องการมาในช่วงที่มีน้ำเยอะน้ำตกสวยงามที่สุด ควรมาช่วงฤดุฝนตั้งช่วงเดือน ก.ย. - ต.ค.

---- เด็กๆ เล่นน้ำสนุกเชียว ----

--- หาอะไรลองท้องก่อนมื้อนี้จ่าย 40 บาท ข้าวผัดกระเพราะปลาหมึก ----

----- แถม แม่ค้าให้ชิมกล้วยฉาบฟรีอีกด้วย คนกาญใจดีๆๆแท้ๆๆ อิอิ ---

รถไฟจะออกจากสถานนีน้ำตกมุ่งหน้าเพื่อเดินทางกันต่อ จะมีพักที่สถานีท่ากิเลน แล้วกลับมาที่สถานีกาญจนบุรี มาแวะที่สุดท้ายคือ สุสานทหารพันธมิตรสามารถเดินไปชม ไปถ่ายรูปได้ค่ะ แต่ถ้าเพื่อนคนไหนไม่อยากไปก็หาอะไรทานแถวหน้าสถานีรถไฟ ก่อนที่จะสิ้นสุดการเดินทางที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ ประมาณ 19.30 น. ถ้าเวลาไม่คาดเคลื่อนป็นอันจบวันเดย์ทริป

  ... รักบ้านเกิดกาญจนบุรี .. --- แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้าค่ะ (17/6/17) -- ติดตามพวกเราได้ที่  Facebook Page :เดินเตะฝุ่น >>หรือ https://www.facebook.com/WalkKickDust/ IG : yuyyuy33 Tel. 088-9433609 ( คุณยูยุ้ย )  E-mail : oh.yuy1414@gmail.com

เกาะรอก ไปซํ้าจนหนำใจ

เกาะรอก, กระบี่ จ.

Jobby Wuttinawin

July 3, 2017, 6:28 PM July 6, 2017, 3:12 PM

เกาะรอก ไปซํ้าจนหนำใจ

เป็นชุดที่รวบรวม การเที่ยวเกาะรอก จังหวัดกระบี่ ไปมา 3 รอบใน 1 ปี เดี๋ยวปลายปีไปอีกรอบ ไปบ่อยเกิ๊น การเดินทางก็มีให้เลือกไปได้หลายทาง ส่วนตัวนั้นหา ทริปจากจังหวัดตรัง ไปจนเป็นเพื่อนกับเจ้าของรีสอร์ทแล้ว ลงไปเที่ยวคนเดียวยังลงไปเลย ระยะทางจากรีสอร์ทที่ตรัง ไปเกาะรอกก็ ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร นั่งเรือก็ประมาณ 1 ชั่วโมงไม่เกิน ทริปที่ไปทุกครั้ง จะใช้เวลาอยู่ที่เกาะรอก 1 วันเต็มๆ ดำนํ้ากันให้เต็มที่ ไม่มีกั๊ก ส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวก็จะไปวัน ธรรมดามากกว่า เพราะทางรีสอร์ท บอกว่า เสาร์ อาทิตย์คนเยอะ ก็จริงๆ อย่างที่บอก ยอมลางานเพื่อจะได้เต็มอิ่มกับ ความสวยงามของเกาะรอก ทั้งบนบกและใต้นํ้า ดำนํ้าให้เต็มที่กันเลย ส่วนตัวชอบดำนํ้าอยู่แล้วเลย สนุกสุดๆ ส่วนบนบกก็สวยงามไม่แพ้ ใต้นํ้า เหมือนกัน ไม่ให้เสียเวลาเริ่มเลยละกัน  บรรยายตามรูปละกัน ถ้าไม่ขี้เกียจนะ

น่าน ... ฤดูฝน ไปเถอะแล้วจะหลงรัก ♥

อำเภอปัว จังหวัดน่าน จ.น่าน

ม่อนจุก #อยากเที่ยวตามมา

July 4, 2017, 4:41 PM July 6, 2017, 3:12 PM

น่าน ... ฤดูฝน ไปเถอะแล้วจะหลงรัก ♥

" น่าน "  . . จังหวัดเล็กๆที่แสนจะเงียบสงบ เรียบง่ายและ Slow Life

ถ้าพูดถึงเมืองน่าน หลายๆคนคงจะติดภาพอากาศเย็นๆและสายหมอกในฤดูหนาว

แต่จริงๆแล้ว น่านยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายและสามารถเที่ยวได้ทุกฤดู

ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนต้นปี ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวน่านมาครั้งนึงแล้วและประทับใจจังหวัดนี้มากๆ

ใครอยากตามรอยทริป 2 วัน 2 คืนแบบไม่ต้องลางานเข้าไปดูกันได้ที่ 

https://th.readme.me/p/7445

แต่ทริปครั้งนี้ผมไปน่านเมื่อกลางเดือน มิ.ย. 60 

ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนเต็มตัว ถามว่าทำไมถึงมาฤดูฝน?

ง่ายๆเลย พอดีจองตั๋วโปรของหาแดงได้ ไป-กลับ 600 บาท ฮ่าๆๆๆ 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากไปเที่ยวแล้วได้เห็นวิวที่มันเขียวๆ เห็นแล้วสดชื่น

ซึ่งแน่นอนฤดูฝนเป็นช่วงคุณจะเห็นต้นไม้และพืชต่างๆ แบบเขียวขจีแน่นอน

และในช่วงฤดูฝนยังเป็นฤดูที่ชาวนาจะเริ่มทำนากันแล้วด้วย

แต่ในช่วงที่ผมไปเพิ่งจะเริ่มทำกันบางพื้นที่เท่านั้น 

โดยครั้งนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวกันแบบ 3 วัน 2 คืน

ปัว - โรงเรียนชาวนา - กาแฟบ้านไทลื้อ - 

วังศิลาแลง - ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ - วัดภูเก็ต - 

น้ำตกสะปัน - อุ่นไอมาง - บ่อเกลือ - ถนนลอยฟ้า

ที่พักคืนแรก - โรงเรียนชาวนาตำบลศิลาเพชร

ที่พักคืนที่สอง - อุ่นไอมาง (Oun I Mang)

เอาล่ะเกริ่นมาพอสมควร ตามไปเที่ยวน่านกันดีกว่าาาาาาาา

หากชื่นชอบฝากติดตามผลงานกันได้ที่

https://www.facebook.com/yaktieowtamma/

เราออกเดินทางจาก กทม. โดย AirAsia ไปลงยังสนามบินน่าน เราถึงน่านกันแต่เช้า ซึ่งวันที่ไปฝนตกต้อนรับพวกเราตั้งแต่เริ่มเลยทีเดียว  ฮ่าๆๆ สมกับที่เป็นฤดูฝนจริงๆ  ทริปนี้เราเดินทางกัน 3 คน ผม แฟน และเพื่อนแฟน  ผมเช่ารถ Vios ขับจากสนามบิน ค่าเช่าวันละ 800 บาท (เป็นของ Local) โดยที่แรกที่เราไปแวะเมื่อได้รับรถก็คือ ... .

. Hug Her Him นั่นเอง ... 

เมื่อตอนต้นปีเรามาพักที่นี่แล้วได้รู้จักกับพี่บอม เจ้าของ Homestay นี้

เลยซื้อของมาฝากและเยี่ยมเยียน แล้วก็ไปกันต่อยังเป้าหมายต่อไป

ใครไปน่านแล้วอยากพักในเมืองแนะนำที่ Hug Her Him เลยครับ

ที่พักห่างวัดภูมินทร์มากๆ เดินเที่ยวเล่นในเมืองได้สบายๆ

https://www.facebook.com/hugherhimnan

ขับรถตาม google map มาจากเมืองน่านประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ 

เนื่องจากมีฝนตกปรอยๆตลอดทางเลยใช้ความเร็วมากๆไม่ได้ 

อีกอย่างวิวข้างทางมันจะเขียวๆหน่อยทำให้เพลิดเพลินมากๆ

แต่ไม่นานเราก็ถึงจุดแวะแรกตามแพลนของเราก็คือ

" ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ " 

ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ ต.ศิลาแลง อ.ปัว เป็นร้านกาแฟของร้านลำดวนผ้าทอชื่อดังแห่งปัว 

นับว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอำเภอปัว และผ้าทอส่วนใหญ่เมื่อทอมาแล้วก็มีการจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน

กาแฟร้านนี้รสชาติดีมากๆ เข้มข้น หวานมันและราคาเพียงแก้วละ 30-40 บาทเท่านั้น

และที่นี่ทำให้เราเพลิดเพลินกับบรรยากาศแบบสุดๆ เพราะด้านหลังร้านจะมีศาลาและทางเดิน

ที่วิวด้านหลังจะเป็นทุ่งนาและภูเขา เรียกได้ว่านั่งกิน นอนเล่นกันจนเพลินเลยล่ะ

อิ่มหนำกับการถ่ายควายเอ้ยยย การดื่มแฟกันพอสมควร  เราออกเดินทางต่อไปยังบ้านพักในคืนแรกของเราวันนี้ที่ " โรงเรียนชาวนา ต. ศิลาเพชร อ.ปัว "

โรงเรียนชาวนา อยู่ห่างจากกาแฟบ้านไทลื้อไม่ไกล ขับรถประมาณ 10 นาทีเท่านั้น

การเดินทางไปยังโรงเรียนชาวนานั้น เราปักหมุด Google Map ไป 

แต่ก็ต้องระวังนิดนึงเพราะมันจะพาเราหลงไปกลางทุ่งนา

ถ้าตาม Map มามันจะพาเราไปเลี้ยวขวาที่ซอย 2 เราไม่ต้องเลี้ยว ให้ขับเลยมาอีกนิดจะเจอป้ายในรูปนี้

ขับตามป้ายไปอีกนิดก็ถึงทางเข้าด้านหน้า ขับตามป้ายไปไม่หลงแน่นอน 

( ตอนแรกเราไปเลี้ยวซอย 2 ขับไปเรื่อยๆ ไปโผล่กลางทุ่งนากันเลย 5555 )

ใครอยากไปพักที่นี่ลองติดต่อ โรงเรียนชาวนาตำบลศิลาเพชร 

แต่อาจจะต้องจองล่วงหน้านานๆหน่อยนะครับ เพราะที่พักมีแค่ 4 หลัง

อย่างที่บอกว่าโรงเรียนชาวนา นอกจากจะเปิดให้บริการที่พักแล้ว 

ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำในช่วงที่เริ่มทำนา ให้ได้เรียนรู้กันอีกด้วย 

เช่น สอนการทำนาตั้งแต่ ไถนา ดำนา เกี่ยวข้าว ฟาดข้าว เป็นต้น

เเต่ช่วงที่เราไปยังไม่เริ่มทำนา ก็เลยได้แค่นอนพัก ถ่ายรูปเล่น ฮ่าๆ

ซึ่งบ้านหลังที่เรามาพักนั้นชื่อ " เรือนรจนา "

แต่ที่ฟิน ที่สุดก็คงเป็นห้องน้ำของที่นี่เนี่ยแหละ เปิดหน้าต่างออกไปวิวแบบว่า อาบไปฟินไปแน่ๆ

นอกจากนี้ผมยังไปเดินเล่นถ่ายรูปบ้านหลังอื่นด้วย เนื่องจากว่างมากๆ และไม่มีคนเข้าพัก

หลังจากเช็คอินและพักผ่อนนอนเล่นกันสักพัก ก็เริ่มหิว มื้อบ่ายนี้เราฝากไปฝากท้องกันที่ร้าน

" ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ "  ซึ่งที่นี่จะเป็นทั้ง Home stay และ ร้านอาหารอีกด้วย (ครัวปิด 18.30 นะจ้ะ)

ถามว่าทำไมต้องมากินที่นี่ เพราะที่นี่จะมีทางเดินไปยังสถานที่ที่ผมอยากมาที่สุดในทริปนี้

" วังศิลาแลง "

แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะช่วงนี้ฝนตกพอดีและน้ำค่อนข้างเยอะ 

ทำให้ได้ภาพมาแบบที่เห็นนี่แหละครับ T______T

เราผิดหวังจากวังศิลาแลง ก็เลยกลับกันและท้องฟ้าก็ดูขมุกขมัวในวันนั้น

ทำให้แพลนอีกที่นึงที่เราจะไปก็คือ

" วัดภูเก็ต"

เกือบจะยกเลิกไปเพราะท้องฟ้าไม่เป็นใจ แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจขับรถไปลุ้นเอาดาบหน้า

จากวังศิลาแลงขับรถประมาณ 15 นาทีก็มาถึงวัดภูเก็ต ซึ่งไฮไลต์อยู่ที่วิวหลังวัด

ซึ่งที่นี่ในช่วงที่ทำนาเต็มพื้นที่จะสวยมากๆ เขียวไปทั้งหมดนี่แหละ

หลังจากถ่ายรูปกันพอสมควร ก็เดินทางกลับไปยังที่พักโรงเรียนชาวนา

เช้าวันที่ 2

เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับอากาศที่สดชื่นเย็นสบาย เพราะรอบๆบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยทุ่งนาและทุ่งดอกปอเทือง เป็นอะไรที่หลายๆคนคงแสวงหาที่พักแบบนี้ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเราก็ออกไปทานอาหารเช้าที่ทางพี่นา เจ้าของจัดเตรียมให้เรา

ฝีมือการทำอาหารของพี่นา ไม่ธรรมดาจริงๆ อร่อยจนอยากกลับไปกินอีกเลยล่ะ

หลังจากอิ่มท้องแล้วเราเตรียมเก็บข้าวของเพื่อเช็คเอ้าท์ แต่ก่อนจะไปขอพาสาวๆไปถ่ายรูปเล่นหน่อยน๊

ลาแล้ว โรงเรียนชาวนาไว้จะกลับมาเที่ยวใหม่นะ 

ออกจากโรงเรียนชาวนา ในวันนี้เราจะไปต่อกันที่ อ.บ่อเกลือ 

แต่ก่อนจะไปเราจะแวะไปทำภารกิจอย่างนึงที่

"อุทยานแห่งชาติดอยภูคา"

จากโรงเรียนชาวนาขับรถไปประมาณ 15-20 นาทีก็ถึงยังอุทยานแห่งชาติดอยภูคา

ซึ่งภารกิจของเราในวันนี้ก็คือ ... ประทับตราสะสมของอุทยานนั่นเอง ฮาาาา

ประทับตราอุทยานเสร็จก็ไปแวะถ่ายรูปกันที่จุด ชมวิว 1715 ซึ่งดูภาพสิ...ขาวโพลนนนนนน

จริงๆที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคานี้มีที่พักเยอะมากและน่ามานอนพักด้วย

แต่คงไว้โอกาสหน้าแล้วกันเพราะเราจะต้องไปต่อกันที่ อ.บ่อเกลือ และ น้ำตกสะปัน

ซึ่งจากดอยภูคาไปยังบ้านสะปันนั้นระยะทางประมาณ 70 ก.ม.ใช้เวลาประมาณ 1.30 ช.ม.

เพราะเป็นทางที่ขับขึ้นลงเขา อาจจะต้องใช้ความระมัดระวัง และใช้ความเร็วได้ไม่มากนัก

และเเล้วเราก็มาถึงทางเข้า

"น้ำตกสะปัน"

ซึ่งเราจะต้องจอดรถไว้ที่นี่และเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 700-800 เมตรก็จะถึงน้ำตกชั้น 3

นั่นไงไกลๆ นั่นแหละ เหมือนเข้ามาอยู่ในป่าพิศวงจริงๆ เขียวไปหมดดดดด

เดินขึ้นไปอีกหน่อย ก็มาอยู่ตรงหน้าน้ำตกแล้ว

เดินเล่น ถ่ายรูปที่น้ำตกสะปันกันพอสมควร เราก็เข้าที่พักในวันที่สองของเรา

" อุ่นไอมาง " 

อุ่นไอมาง เป็น Home Stay เล็กๆที่ใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกสะปัน

ตกแต่งแบบกลิ่นไอ สไตล์ญี่ปุ่น ผสมผสานกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว

ด้านหลังยังมีแม่น้ำมางไหลผ่านที่พักอีกด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วที่พักที่นี่จะมีแบบกระโจมด้วย

และจะมีสะพานไม้พาดผ่านแม่น้ำข้ามไปยังอีกฝั่งเพื่อไปยังกระโจม

แต่โชคไม่ดีก่อนวันที่เราไปพัก มีฝนตกลงมาเยอะทำให้น้ำพัดสะพานและกระโจมจนพังไป

อุ่นไอมาง ณ สะปัน

เจ้าตัวนี้เป็นเจ้าถิ่นมาต้อนรับเราตั้งแต่มาถึงเลยล่ะ

บริเวณห้องพักที่เราพักกัน

จัดแจงเก็บของ เดินถ่ายรูป นอนเล่นจนหายเหนื่อย เราก็ไปขับรถเล่นรอบๆที่พักกัน

ซึ่งเราแอบถามคุณป้าคนดูแลมาว่า ช่วงนี้ชาวบ้านสะปันเริ่มทำนากันเเล้ว เลยขับรถไปดูกัน

จากอุ่นไอมางต้องขับรถขึ้นเนินมาหน่อย ประมาณ 1 กิโลเมตรจะมีจุดที่สามารถมองเห็นวิวทุ่งนาที่สวยมากๆ

จากจุดนี้เราใช้เวลาหยุดถ่ายรูปกันพอสมควรเพราะของจริงมันสวยมากๆๆๆๆๆๆๆ

เป็นนาของบ้านสะปัน ที่ยังทำได้ไม่เต็มพื้นที่นักเนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นฤดูทำนา

แค่นี้ยังสวยสุดๆ ถ้ามาช่วง ก.ค. - ส.ค. น่าจะเขียวสุดๆไปเลยล่ะครับ

ชาวนากำลังเดินกลับกันแล้ว

มองจากด้านบน เราลองขับรถลงไปชมวิวนาด้านล่างกันบ้าง

คุณป้าท่านนี้กำลังดำนาแบบแข็งขันมากๆ

เราเดินเล่นชมวิถีชีวิตของชาวนาบ้านสะปันกันจนเต็มอิ่มและเหงื่อไหล

พวกสาวๆเริ่มหิวแล้วกลับไปอาบน้ำอาบท่า ทานอาหารเย็นและนอนพักผ่อนกัน

เช้าวันที่สาม

วันสุดท้ายของทริป วันนี้เรามีเวลาไม่มากนัก เพราะไฟลท์กลับของเราจะต้องบินตอน 4 โมงเย็นเป๊ะๆ พวกเราเลยตื่นเเต่เช้า ไปทานอาหารเช้ากัน

กินอิ่มก็กลับมาเตรียมตัวเช็คเอ้าท์ ระหว่างรอสาวๆแต่งหน้าก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย

บอกลา "อุ่นไอมาง" ไปด้วยภาพวิวหลังที่พักยามเช้า ไว้จะกลับมาเที่ยวใหม่นะ

ออกจากอุ่นไอมางประมาณ 9 โมงเช้าเราไปแวะกันที่ หมู่บ้านบ่อเกลือสินเธาว์ภูเขาแห่งเดียวในโลก

ซึ่งขับจากอุ่นไอมางมาประมาณ 15 นาที ก็ถึงยังหมู่บ้านและใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณครึ่งชั่วโมง

เพราะจะต้องรีบขับรถกลับไปให้ทันเที่ยวบิน ซึ่งเสียดายมากๆ ที่นี่เป็นแหล่งถ่ายรูปชั้นดีเลยแหละ ฮ่าๆๆ

ไว้ต้องหาโอกาสมาซ้ำแน่ๆ

ออกจากหมู่บ้านบ่อเกลือมา เราขับมาทางเส้นถนนลอยฟ้า 1081 อ.สันติสุข - อ. บ่อเกลือ

ซึ่งเวลามาเที่ยวช่วงหน้าฝนนี่คนน้อยมากๆ เรียกว่านับรถคันที่สวนมาได้เลยล่ะ

เราขับรถเข้าตัวเมืองน่านมาเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปบ่อยมาก  จนมาถึงตัวเมืองน่านใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ

แต่ทริปของเรายังไม่จบ เพราะเราจะแวะไปไหว้พระกันที่

"วัดภูมินทร์"

เสร็จแล้วก็ข้ามถนนมายัง ซุ้มลีลาวดี ซึ่งตอนต้นปีมีแต่กิ่งก้าน ไม่มีใบสักต้น

แต่ถ้ามาฤดูฝน ก็จะได้เห็นแบบนี้อ่ะนะ

อีกฝั่งก็คือ ข่วงเมืองน่าน นั่นเอง

ไหว้พระเสร็จก็ได้เวลากลับกันแล้ว แต่ขอแวะไปหาของกินร้านเด็ดของจังหวัดน่านก่อนนะ

ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไร้เทียมทานกับเล้งชิ้นโต อร่อยเเซ่บ จริงๆ

แล้วไปต่อกันด้วยไฮไลต์ปิดท้ายทริป 

"ร้านของหวานป้านิ่ม" 

ร้านนี้อยู่ตรงข้ามวัดศรีพันต้น เป็นร้านของหวานที่โด่งดังมากๆของน่าน

ราคาอาจจะแพงไปหน่อย แต่ก็อร่อยและรับได้กับรสชาติ อีกอย่างเมนูแปลกไม่เหมือนใครดี

ไอติมบัวลอย / ไอติมข้าวเหนียวมะม่วง / ลอดช่องสิงคโปร์ทับทิมกรอบ

กินเสร็จ อิ่มอร่อยกันไปก็รีบบึ่งไปสนามบินจนเกือบไม่ทัน ฮ่าๆ

ปิดทริป 

"น่าน..ฤดูฝน" 

ไปแบบประทับใจสุดๆ กับการมาเที่ยวฤดูฝน

ซึ่งได้ความรู้สึกแปลกใหม่ สดชื่น เย็นสบายและ เขียวขจีสบายตามากๆ เหมาะแก่การมาพักผ่อนสมองสุด ๆ 

น่านยังมีที่เที่ยวอีกมากมาย ที่ผมยังอยากไปอีกหลายที่ คงต้องหาโอกาสกลับมาเยี่ยมเยียน

จังหวัดที่แสนสงบแห่งนี้อีกครั้ง

บ๊าย บาย

" น่านนคร " 

เหนื่อยนัก..พักร้อน นอนจันท์ @ Sand Dunes Chaolao Beach Resort

หาดเจ้าหลาว จ.จันทบุรี จ.

ฅนชอบเที่ยว ...

July 5, 2017, 9:41 AM July 6, 2017, 3:12 PM

เหนื่อยนัก..พักร้อน นอนจันท์ @ Sand Dunes Chaolao Beach Resort

ติดตามไปเที่ยวกับเรา #ฅนชอบเที่ยว www.facebook.com/konchoptieow

หลายครั้งที่เราต้องการพัก พัก และก็พัก และก็หนีไม่พ้น..ต้องไปในช่วงวันหยุดสุดสุปดาห์ สุดท้ายสิ่งที่เราคิด ไม่ค่อยจะเป็นตามที่หวังสักเท่าไร เพราะ...คนมันก็จะเยอะๆ หน่อย 555+ ประมาณว่า จะถ่ายรูป..คนก็ยืนอยู่ด้านหลัง จะกินอะไร..ก็ต้องรอคิวนานๆ

ครั้งนี้!! เรา ฅนชอบเที่ยว ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ส่งใบลาพักร้อน เพราะครั้งนี้เราจะไปกันวันธรรมดา ก็อยากเที่ยวแบบชิวๆ บ้างไรบ้าง คนน้อยๆ หน่อย ฮ่าๆๆ ส่วนสถานที่..ที่ไปในครั้งนี้คือ จันทบุรี เพราะจากทริปเกาะช้างครั้งที่แล้ว ได้มีโอกาสแวะจันทบุรี รู้สึกว่า จ. จันทบุรียังมีอีกหลายๆ ที่..ที่น่าสนใจ..ครั้งนี้เลยต้องขอกลับมาเก็บสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองจันทบุรีสักหน่อย

และเพื่อเพิ่มความชิลให้ทริปนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือที่พัก...ชิลๆ ..สุดท้ายเราได้เลือก “แซนดูน เจ้าหลาว บีช รีสอร์ท" (Sand Dunes Chaolao Beach Resort) รีสอร์ทแนวไลฟ์สไตล์ติดทะเล ตั้งอยู่บนหาดเจ้าหลาว หาดที่สามารถชมพระอาทิตย์ตก ที่สวยที่สุดของจังหวัดจันทบุรี แถมที่นี่..มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ ,fitness ,โซนสำหรับเด็ก เหมาะแก่การไปพักผ่อนทั้งแบบเพื่อน คู่รัก หรือจะแบบครอบครัวก็ได้ครับ บอกเลยว่าใครกำลังมองหาที่พักโซนนี้ ต้องไม่ควรพลาดที่นี่ครับ

สำหรับค่าใช้จ่าย (หารกัน 4 คน)

การเดินทาง

เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 10 โมงเช้า เริ่มจากค้นหาที่ตั้งของรีสอร์ทใน Google map goo.gl/maps/bNFJjpoHSMN2 ขับตาม GPS ประมาณ 200 กม. นิดๆ ขับไปพักไป ใช้เวลา 3-4 ชม ครับ โดยใช้เส้นทางพิเศษบูรพาวิถี มุ่งหน้าสู่ จ. ชลบุรี > ขับไปทาง อ.แกลง จ.ระยอง > ขับเข้ามาทางหาดเจ้าหลาว > วิ่งจนถึงวงเวียนพะยูนเล่นน้ำ-หาดเจ้าหลาว ให้เลี้ยวซ้ายวิ่งไปอีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงที่พักครับ

หลังจากถึงที่พัก ก็ทำการเช็คอิน แจ้งชื่อและนำบัตรประชาชนสำหรับ Check-in ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย เก็บของสัมภาระเข้าห้องพักกันเลยครับ 

ทริปนี้เราจองห้องพักแบบ Superior Room จำนวน 2 ห้องครับ

ระหว่าง 2 ห้องนี้ จะเป็น Connect Room สามารถเปิดประตูเดินถึงกันสะดวกมากๆ

สิ่งอำนายความสะดวกภายในห้อง เครื่องปรับอากาศ , เคเบิ้ลทีวี , ตู้เย็น , เครื่องทำน้ำอุ่น และ WiFi รหัสจะอยู่ที่หัวเตียงครับ

โอ้โห้,,,,แม่ฮ่องสอนหน้าฝน

เส้นทางปาย-แม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน

akhira puk

July 5, 2017, 4:00 PM July 6, 2017, 3:12 PM

"แม่สาวาเล่ย์ รีสอร์ท" บรรยากาศดีเวอร์ แต่ราคาไม่เวอร์

มาตะลอนเที่ยวไปกับเรา #คู่ซี้ตะลอนโลกwww.facebook.com/bestiewanderer 

ใครๆก็บอกว่าฤดูฝนเป็นช่วงโลว์ซีซัน.... แต่ข้อดีในการท่องเที่ยวหน้าฝน คือนอกจากนักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าช่วงอื่นแล้ว ราคาที่พักและตั๋วเครื่องบินก็ถูกกว่า ที่สำคัญคือความจริงแล้วเสน่ห์ของหน้าฝนนั้นมีหลายอย่างที่ฤดูกาลอื่นไม่มี ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นไอฝนจางๆหลังจากฝนตกใหม่ๆที่แค่สูดเข้าไปก็รู้สึกสดชื่นนนนน หรือจะเป็นต้นไม้/ยอดหญ้าที่กำลังแตกหน่อแตกใบขึ้นมารับน้ำ ทำให้ดูเขียวชอุ่มสบายตาไปหมด 

หลังจากเคยไปเที่ยวเชียงใหม่ช่วงฤดูอื่นมาแล้ว ครั้งนี้เราเลยลองไปช่วงฤดูฝนดูบ้าง โดยจองตั๋วเครื่องบินของสายการบิน Vietjet Air ราคาถูกดี ไป-กลับคนละประมาณ พันนิดๆ และสะดวกกับเราตรงที่เค้าขึ้น/ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ

เราไปกันแบบครอบครัว ทั้งหมด 6 คน เลยต้องมองหาที่พักที่ค่อนข้างสะดวกสบายหน่อย และสุดท้ายมาลงตัวที่... แม่สาวาเล่ย์ รีสอร์ท (Mae Sa Valley Resort)

รีสอร์ทอยู่ที่แม่ริม ไม่ไกลจากม่อนแจ่มเท่าไหร่ โดดเด่นอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนรักความเขียวขจีของป่าเขาลำเนาไพร อากาศดี สดชื่น มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน ที่พักมีสระว่ายน้ำ เหมาะสำหรับคู่รักฮันนีมูน ครอบครัว ที่อยากพักผ่อน สะดวกสบาย

พิกัด: 86 ม.2 ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่  เบอร์โทร: 053-290051 ทางไปจอง: http://www.maesavalleyresort.com

เราจองแบบ Family Cottage เป็นวิลล่าส่วนตัว 3 ห้องนอน มีห้องน้ำในตัวในแต่ละห้องนอนด้วย ราคาถือว่าไม่แพงเลยเพราะนอนได้ตั้ง 6 คน ราคา 3,xxx/คืน รวมอาหารเช้า ถ้ามากันแค่สองคนก็จองห้องสแตนดาร์ดธรรมดาก็ได้ ราคาคืนละพันนิดๆเท่านั้นเอง (ราคาขึ้นอยู่กับช่วงที่เข้าพักด้วยนะ)

ในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นแอร์ ทีวี ตู้เย็น และฟรี Wi-Fi ด้วย

ตื่นเช้ามาได้เห็นวิวเขียวชอุ่มสบายตาจากบนเตียงนี่มัน สดชื่นเวอร์! ^^

สระว่ายน้ำของที่นี่บรรยากาศสดชื่นมากเลย ด้านนึงเป็นสวน อีกด้านเป็นภูเขา แต่สระค่อนข้างลึกเลยนะคะ ถ้ามีเด็กมาด้วยต้องระวังหน่อย เราลองลงว่ายช่วงเย็นๆ น้ำเย็นมากกกกก ขนลุกซู่! อยู่ได้แป้บเดียวก็ไม่ไหวค่ะ 5555

บริเวณโดยรอบรีสอร์ท มีต้นไม้, ดอกไม้ปลูกไว้สวยงามเต็มไปหมด และช่วงหน้าฝนนี่ดอกไม้กำลังบานสะพรั่งกันเลย

บริเวณโรงแรม ยังมีลำธารไหลผ่าน มาเดินเล่นตรงนี้กันได้ด้วย เด็กๆก็สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำสะอาด ไม่ลึกและไหลไม่แรงนะคะ

มาดูอาหารเช้าที่นี่กันบ้างเนาะ ทางรีสอร์ทจะมีเมนูให้เลือกเซ็ตอาหารเช้าคนละเซ็ต มีแบบ American Breakfast พวกไข่ดาว ไส้กรอก เบค่อน แฮม และแบบไทยๆเราคือข้าวต้มจ้า เครื่องดื่มก็มีน้ำส้ม ชา กาแฟ น้ำเปล่า ให้ทานกัน

หลังจากทานอาหารเช้าแล้วเราก็ขับรถขึ้นไปเที่ยวที่ม่อนแจ่มกัน อยู่ห่างจากรีสอร์ทไปประมาณ 15 นาที ไปถึงแล้วมีหมอกมาเบาๆพอดี อากาศสดชื่นมากเลยจ้า :)

ข้อดีสุดๆของเราอีกย่างนึงเวลามาเที่ยวช่วงที่คนอื่นไม่ค่อยมากันเนี่ย คือตอนถ่ายรูปคนไม่ค่อยเยอะ ดีงามมากมาย อยากถ่ายมุมไหน ยังไงได้หมดเลยจ้า ^^

นอกจามชมความสวยงามของวิวจากบนนี้แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่อยากให้ลองกันคือ นั่งรถแขางชาวเขา เห็นแบบนี้ตอนเล่นเองคือบังคับค่อนข้างยากมากเลยนะ 5555 แต่สนุกมากเลยจ้า

หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้ว (น่าจะคนละหกสิบบาท เราจำราคาไม่ได้แล้ว ขอโทษทีนะ) เราต้องนั่งรถกระบะขึ้นไปบนเนินเขา ระยะทางประมาณเกือบ 1 กม. ได้ แล้วเค้าก็ปล่อยให้เราลง และบังคับรถซิ่งนี่ลงมาเอง

ทางลงมา จะเป็นทางลาดดิน ขรุขระบ้างเป็นระยะ เราแค่บังคับซ้ายขวาด้วยเท้า และกำหนดความเร็วด้วยคันโยกมือ เหมือนจะง่าย แต่เอาเข้าจริง เรางง 55555

ก่อนจะบอกลาม่อนแจ่มไปในครั้งนี้ ระหว่างขับรถลงจากม่อนแจ่ม ก็แวะถ่ายรูปบรรยากาศกันสักหน่อยเนาะ

ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านมาถึงตรงนี้นะค้า

แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางครั้งต่อไปของเรา #คู่ซี้ตะลอนโลก เร็วๆนี้นะคะ

ติดตามอ่านรีวิวอื่นและดู VDO ท่องเที่ยวแบบฉบับสองสาวคู่ซี้ได้ที่ช่องทางด้านล่างนะคะ Facebook: https://www.facebook.com/bestiewanderer/

แอ่วเจียงใหม่หน้าฝน กับ "แม่สาวาเล่ย์ รีสอร์ท" บรรยากาศดีเวอร์ แต่ราคาไม่เวอร์

แม่สา วาเล่ย์ การ์เด้น รีสอร์ท จ.

Bestie Wanderer

July 6, 2017, 1:47 PM July 6, 2017, 3:12 PM

"แม่สาวาเล่ย์ รีสอร์ท" บรรยากาศดีเวอร์ แต่ราคาไม่เวอร์

มาตะลอนเที่ยวไปกับเรา #คู่ซี้ตะลอนโลกwww.facebook.com/bestiewanderer 

ใครๆก็บอกว่าฤดูฝนเป็นช่วงโลว์ซีซัน.... แต่ข้อดีในการท่องเที่ยวหน้าฝน คือนอกจากนักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าช่วงอื่นแล้ว ราคาที่พักและตั๋วเครื่องบินก็ถูกกว่า ที่สำคัญคือความจริงแล้วเสน่ห์ของหน้าฝนนั้นมีหลายอย่างที่ฤดูกาลอื่นไม่มี ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นไอฝนจางๆหลังจากฝนตกใหม่ๆที่แค่สูดเข้าไปก็รู้สึกสดชื่นนนนน หรือจะเป็นต้นไม้/ยอดหญ้าที่กำลังแตกหน่อแตกใบขึ้นมารับน้ำ ทำให้ดูเขียวชอุ่มสบายตาไปหมด 

หลังจากเคยไปเที่ยวเชียงใหม่ช่วงฤดูอื่นมาแล้ว ครั้งนี้เราเลยลองไปช่วงฤดูฝนดูบ้าง โดยจองตั๋วเครื่องบินของสายการบิน Vietjet Air ราคาถูกดี ไป-กลับคนละประมาณ พันนิดๆ และสะดวกกับเราตรงที่เค้าขึ้น/ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ

เราไปกันแบบครอบครัว ทั้งหมด 6 คน เลยต้องมองหาที่พักที่ค่อนข้างสะดวกสบายหน่อย และสุดท้ายมาลงตัวที่... แม่สาวาเล่ย์ รีสอร์ท (Mae Sa Valley Resort)

รีสอร์ทอยู่ที่แม่ริม ไม่ไกลจากม่อนแจ่มเท่าไหร่ โดดเด่นอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนรักความเขียวขจีของป่าเขาลำเนาไพร อากาศดี สดชื่น มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน ที่พักมีสระว่ายน้ำ เหมาะสำหรับคู่รักฮันนีมูน ครอบครัว ที่อยากพักผ่อน สะดวกสบาย

พิกัด: 86 ม.2 ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่  เบอร์โทร: 053-290051 ทางไปจอง: http://www.maesavalleyresort.com

เราจองแบบ Family Cottage เป็นวิลล่าส่วนตัว 3 ห้องนอน มีห้องน้ำในตัวในแต่ละห้องนอนด้วย ราคาถือว่าไม่แพงเลยเพราะนอนได้ตั้ง 6 คน ราคา 3,xxx/คืน รวมอาหารเช้า ถ้ามากันแค่สองคนก็จองห้องสแตนดาร์ดธรรมดาก็ได้ ราคาคืนละพันนิดๆเท่านั้นเอง (ราคาขึ้นอยู่กับช่วงที่เข้าพักด้วยนะ)

ในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นแอร์ ทีวี ตู้เย็น และฟรี Wi-Fi ด้วย

ตื่นเช้ามาได้เห็นวิวเขียวชอุ่มสบายตาจากบนเตียงนี่มัน สดชื่นเวอร์! ^^

สระว่ายน้ำของที่นี่บรรยากาศสดชื่นมากเลย ด้านนึงเป็นสวน อีกด้านเป็นภูเขา แต่สระค่อนข้างลึกเลยนะคะ ถ้ามีเด็กมาด้วยต้องระวังหน่อย เราลองลงว่ายช่วงเย็นๆ น้ำเย็นมากกกกก ขนลุกซู่! อยู่ได้แป้บเดียวก็ไม่ไหวค่ะ 5555

บริเวณโดยรอบรีสอร์ท มีต้นไม้, ดอกไม้ปลูกไว้สวยงามเต็มไปหมด และช่วงหน้าฝนนี่ดอกไม้กำลังบานสะพรั่งกันเลย

บริเวณโรงแรม ยังมีลำธารไหลผ่าน มาเดินเล่นตรงนี้กันได้ด้วย เด็กๆก็สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำสะอาด ไม่ลึกและไหลไม่แรงนะคะ

มาดูอาหารเช้าที่นี่กันบ้างเนาะ ทางรีสอร์ทจะมีเมนูให้เลือกเซ็ตอาหารเช้าคนละเซ็ต มีแบบ American Breakfast พวกไข่ดาว ไส้กรอก เบค่อน แฮม และแบบไทยๆเราคือข้าวต้มจ้า เครื่องดื่มก็มีน้ำส้ม ชา กาแฟ น้ำเปล่า ให้ทานกัน

หลังจากทานอาหารเช้าแล้วเราก็ขับรถขึ้นไปเที่ยวที่ม่อนแจ่มกัน อยู่ห่างจากรีสอร์ทไปประมาณ 15 นาที ไปถึงแล้วมีหมอกมาเบาๆพอดี อากาศสดชื่นมากเลยจ้า :)

ข้อดีสุดๆของเราอีกย่างนึงเวลามาเที่ยวช่วงที่คนอื่นไม่ค่อยมากันเนี่ย คือตอนถ่ายรูปคนไม่ค่อยเยอะ ดีงามมากมาย อยากถ่ายมุมไหน ยังไงได้หมดเลยจ้า ^^

นอกจามชมความสวยงามของวิวจากบนนี้แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่อยากให้ลองกันคือ นั่งรถแขางชาวเขา เห็นแบบนี้ตอนเล่นเองคือบังคับค่อนข้างยากมากเลยนะ 5555 แต่สนุกมากเลยจ้า

หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้ว (น่าจะคนละหกสิบบาท เราจำราคาไม่ได้แล้ว ขอโทษทีนะ) เราต้องนั่งรถกระบะขึ้นไปบนเนินเขา ระยะทางประมาณเกือบ 1 กม. ได้ แล้วเค้าก็ปล่อยให้เราลง และบังคับรถซิ่งนี่ลงมาเอง

ทางลงมา จะเป็นทางลาดดิน ขรุขระบ้างเป็นระยะ เราแค่บังคับซ้ายขวาด้วยเท้า และกำหนดความเร็วด้วยคันโยกมือ เหมือนจะง่าย แต่เอาเข้าจริง เรางง 55555

ก่อนจะบอกลาม่อนแจ่มไปในครั้งนี้ ระหว่างขับรถลงจากม่อนแจ่ม ก็แวะถ่ายรูปบรรยากาศกันสักหน่อยเนาะ

ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านมาถึงตรงนี้นะค้า

แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางครั้งต่อไปของเรา #คู่ซี้ตะลอนโลก เร็วๆนี้นะคะ

ติดตามอ่านรีวิวอื่นและดู VDO ท่องเที่ยวแบบฉบับสองสาวคู่ซี้ได้ที่ช่องทางด้านล่างนะคะ Facebook: https://www.facebook.com/bestiewanderer/

ล่องแพไม้ไผ่ สดชื่นชุ่มฉ่ำ ณ บ้านวังหอน

ชะอวด จ.

Panutchakorn Jirakashaporn

July 6, 2017, 3:01 PM July 7, 2017, 3:29 PM

จังหวัดนครศรีธรรมราช เมืองสองธรรมของไทยนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย แต่คนส่วนใหญ่มักจะแวะเที่ยวจังหวัดนี้แค่ในตัวเมืองหรือตามที่สถานที่ท่องเที่ยวดังๆเท่านั้น คราวนี้เราลองขับรถออกจากตัวเมืองมาสักนิด มุ่งตรงมาทางอำเภอชะอวด เราก็จะได้เจออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวบรรยากาศดีแห่งใหม่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช นั่นคือ บ้านวังหอน  เส้นทางการเดินทางอาจจะดูลึกลับซับซ้อนไปนิด เพราะสมัยก่อนชุมชนนี้ถือเป็น วังลับแล ของจังหวัด ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมในแบบชาวบ้านชนบท เรียบง่าย โดยมีอาชีพหลัก คือ การทำกสิกรรม การทำสวนยาง การปลูกผลไม้แบบผสมผสานแล้วนำมาแปรรูป ที่ขึ้นชื่อคือ" ทุเรียนกวน " ที่ทำจากเนื้อทุเรียนบ้าน ที่สุกจากบนต้นแล้วหล่นเอง ไม่มีการบ่ม ชาวบ้านจะเรียกว่า "ทุเรียนเหลิ่น" แต่ไฮไลต์ของชุมชนในตอนนี้ คือการล่องแพไม้ไผ่ชมธรรมชาติสองฝั่งคลอง ที่บ้านวังหอนนี่เอง 

หลังจากที่เราขับรถตาม GPS จนมาถึงชุมชนบ้านวังหอน จะมีป้ายบอกทางที่ชัดเจนขึ้นเพื่อนำเราไปยังจุดหมาย การล่องแพบ้านวังหอนนี้เป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่จะช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าต้นน้ำ ลำธารให้ยังคงอุดมสมบูรณ์ คลองธรรมชาติที่เราล่องกัน เกิดจากป่าต้นน้ำของเทือกเขาบรรทัดที่ไหลลงสู่แม่น้ำปากพนัง ซึ่งในอดีตคลองนี้จะเป็นจุดพักน้ำสำหรับชาวบ้านที่ทำนา แต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนมาให้บริการล่องแพชมธรรมชาติแก่นักท่องเที่ยว ถือเป็นการเสริมสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านในชุมชนอีกทาง  

หากใครพร้อมจะลงแพแล้วก็หยิบเสื้อชูชีพและเดินไปรอที่ท่าน้ำได้เลย แพไม้ไผ่1ลำ สามารถนั่งได้ไม่เกิน 3 คน ทุกลำจะมีเจ้าหน้าที่คอยพายให้ ระยะทางไป-กลับประมาณ 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นั่งแช่เท้าชมวิวได้เพลินๆ ขอบอกเลยว่าน้ำใสและเย็นชื่นใจมากใครจะโดดเล่นน้ำล่องตามแพก็ได้ มีจุดให้แวะเล่นน้ำด้วย ซึ่งจุดนี้จะมีลักษณะเป็นลานหินและน้ำตื้น เด็กๆสามารถเล่นได้สบายและวิวตรงนี้จะสวยกว่าตรงบริเวณท่าน้ำที่เราลงแพครับ

ล่องแพเสร็จใครอยากนอนแช่น้ำต่อก็ได้ หรือจะติดใจอยากพักค้างคืนใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ที่นี่ก็มีบริการกระท่อมไม้ไผ่ไว้รองรับนักท่องเที่ยว รวมอาหารเย็นรสชาติหรอยแรงอีกด้วย แต่บ้านพักต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นนะครับ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนอื่นๆที่ใกล้ชิดธรรมชาติในชุมชนบ้านวังหอนนี้ ได้แก่ คลองน้ำใสจากป่าต้นน้ำ ถ้ำวังนายพุฒิ ป่าดึกดำบรรพ์ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส สวนผลไม้ วัดวังหอม เป็นต้น เรามีโอกาสได้แวะวัดวังหอมไหว้พระที่วัดวังหอม และสักการะสรีระสังขาลหลวงพ่อแสง ต่อด้วยเดินป่าเพื่อเข้าชมถ้ำวังนายพุฒิ ระยะทางเดินนั้นไม่ไกลแต่ถ้ามาในช่วงฤดูฝนก็อาจจะเจอทางลื่นชันและทากดูดเลือดได้ ถ้ำวังนายพุฒินี้ ตั้งชื่อตามนายพุฒิที่เป็นคนค้นพบถ้ำ ป็นถ้ำที่มีความสวยงามเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย มีความกว้างประมาณ 100 เมตร ความยาว 400 เมตร และมีทางลอดทะลุไปอีกด้านหนึ่งได้ ถ้าทะลุไปจะเจอป่าดึกดำบรรพ์ ภายในถ้ำนี้มีค้างคาวอาศัยอยู่ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าชุมชนเล็กๆลึกลับแห่งนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย เอาเป็นว่าใครกำลังวางแผนเที่ยวใต้ เที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช อย่าลืมแวะล่องแพบ้านวังหอนด้วยนะ รับรองจะพกความสดชื่นชุ่มฉ่ำกลับไปเต็มกระเป๋าแน่นอน

ข้อมูลทั่วไป

ที่ตั้ง : 284 หมู่ที่ 5 ตำบลวังอ่าง อำเภอชะอวด 80180

GPS : 7.906773, 99.787203

ช่องทางติดต่อ : 063 191 6591, 080 695 5656

facebook : www.facebook.com/banwanghornraft99/

อัตราค่าบริการ : ราคาล่องแพไม้ไผ่เริ่มต้น 200 บาท/คน (เด็ก 120 บาท), ราคาแพ็คเก็จที่พัก 2 วัน 1คืน พร้อมกิจกรรมล่องไม้ไผ่เริ่มต้น 700 บาท (ราคามีการปรับเปลี่ยนสอบถามก่อนเดินทาง)

เวลาเปิด-ปิด  : ทุกวัน 9.00 - 16.00 น. จุดเด่น : มีกิจกรรมให้ท่องเที่ยวมากมายหลายรูปแบบ เหมาะกับคนที่ต้องการพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ ข้อเสนอแนะ : หากมีแพลนจะไปเที่ยวถ้ำวังนายวุฒิด้วย ควรใส่รองเท้าผ้าใบรัดกุม และพกไฟฉายสำหรับนำทางในถ้ำ

วิธีการเดินทาง

โดยรถยนต์ส่วนตัว : เดินทางผ่านถนนทางหลวงหมายเลข 41 เลี้ยวซ้ายเข้าแยกไม้เสียบ เข้าสู่ถนนหมายเลข 4270 ประมาณ 13 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 4175 ประมาณ 7 กิโลเมตร และตรงต่อไปตามถนนหมายเลข 4096 อีก 1 กิโลเมตร จะอยู่ทางขวามือ โดยรถประจำทาง : จากตัวเมืองลงที่สถานีแยกไม้เสียบ และต่อรถรับจ้างมายังชุมชน

จุดเด่น

การล่องแพบ้านวังหอนเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ช่วยพัฒนาให้ชุมชนให้ชาวบ้านมีรายได้เริมจากการทำเกษตรและสวนผลไม้ และยังเป็นการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าต้นน้ำ และลำธาร

จุดด้อย

เนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่มากๆของจังหวัด ทำให้ระหว่างทางยังไม่มีป้ายบอกทางที่ชัดเจน การติดต่อเพื่อไปท่องเที่ยวยังไม่ค่อยสะดวกค่อนข้างติดต่อยาก ไม่มีคนให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวได้เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยว

ข้อสรุป

ถ้าคุณอยากพักผ่อนสัมผัสธรรมชาติ ชุมชนบ้านวังหอนนี้ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก นอกจากจะได้มาคลอง ล่องแพ แลธรรมชาติบนแพไม้ไผ่ แล้วยังได้ลองมาทานอาหารพื้นบ้านรสชาติจัดจ้านแบบชาวใต้ รวมถึงได้เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ยังคงความสดใหม่และอุดมสมบูรณ์

คะแนน 4/5

Phuket 1000% | เที่ยวภูเก็ต 4 วัน 4 คืน 5 หาด 8 ร้านอาหาร | BlissOutThere

เกาะภูเก็ต (Ko Phuket) จ.ภูเก็ต

Ping Pitchaya

July 6, 2017, 4:31 PM July 7, 2017, 3:29 PM

Phuket 1000% | เที่ยวภูเก็ต 4 วัน 4 คืน 5 หาด 8 ร้านอาหาร | BlissOutThere

เที่ยวภูเก็ตมาก็หลายที บอกเลยว่ารอบนี้มันส์และครบที่สุด ! ตามชื่อกระทู้เลย คือ Phuket 1000% คือมันเกินร้อยไปแล้วอ่ะ เที่ยวกระจุยมาก เที่ยวเหมือนชีวิตนี้จะไม่ได้เที่ยวไหนอีกแล้ว ใครกำลังมีแพลนไปภูเก็ต แนะนำรีวิวนี้เลยนะ รับรองว่า อ่านจบแล้วไปตามรอยได้สบาย ข้อมูลครบบบบบ สงสัยตรงไหน inbox มาถามได้ที่เพจ Bliss Out Therehttps://www.facebook.com/BlissOutThere ถ้าพร้อมแล้วววววววว ไปค่ะ : D

เริ่มจากการเดินทาง.. อย่างที่เพื่อนๆคุ้นเคย จากกทม.นั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินภูเก็ต ถ้าเป็นครั้งก่อนๆเราจะนั่ง Airport Bus เข้าเมือง ถ้าเที่ยวในเมือง หรือนั่งไปลงหาดต่างๆถ้าพักที่หาด ระหว่างทริปก็พึ่งสองแถวบ้าง ง้อรถแท๊กซี่ราคาแพงจนกระเป๋าฉีกบ้าง แต่รอบนี้เรามากับเพื่อนอีก 2 คน ซึ่งนางขับรถเป็น ( และเป็นแฟนกัน อ้าว เหงา ) และนางมีคนรู้จัก อยู่ภูเก็ต เราเลยยืมรถเขามาขับได้แบบไม่ต้องเสียเงินเช่า เพื่อนๆที่อยากตามรอยทริปนี้ให้ครบ ปิงแนะนำให้เช่ารถนะ เพราะที่เที่ยวรอบนี้ค่อนข้างกระจัดกระจาย อิ_อิ

————— DAY 1 —————

จริงๆทริปนี้มี 5 วันแหละ แต่วันแรกมาถึงค่อนข้างเย็น เลยขอตัดมาวันที่ 2 เลยแล้วกันนนนนนนนนน ที่พักของเรา 2 คืนแรก คือ ' Nook - Dee Boutique Resort ' หรือเรียกสั้นๆว่า ' หนุกดี ' อยู่ใกล้หาดกะตะและหาดกะรนค่ะ หนุกดีเป็นที่พักสไตล์ไทยบูติก ระดับ 5 ดาว  ตัวอาคาร ผนังห้อง เฟอร์นิเจอร์ ใช้สีเทาเป็นหลัก แต่เขาจะใส้ของตกแต่งอย่างแจกัน ตุ๊กตา เป็นสีสันสดใส เพื่อให้ตัดกัน และ เพื่อให้เข้ากับชื่อโรงแรม และนี่คือหน้าตาของ lobby และ สระว่ายน้ำ..

โรงแรมมีห้องพักทั้งหมด 6 ประเภท คือ 1. Superior Room 2. Deluxe Sea View Room 3. Deluxe Panorama Room 4. Deluxe Panorama Corner Room 5. Deluxe Jacuzzi Room 6. Honeymoon Villa ราคาเริ่มต้นประมาณ 3,060 บ. / ห้อง / คืน ค่ะ รอบนี้ปิงพักห้อง Deluxe Panorama Room ราคาประมาณ 4,970 บ. / ห้อง / คืน รวมอาหารเช้า เพื่อนๆสามารถดูรายละเอียดเรื่องห้องพักได้ที่http://www.nook-dee.com/ หรือ โทร 076-688-888 แต่ตอนนี้ไปดูหน้าตาห้องปิงดีกว่าาาาาาาา *O*

ห้องนี้ ขนาด 38 ตร.ม. ค่ะ ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ถือว่าจัดสรรพื้นที่ได้ดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบ โต๊ะทำงานกว้าง และ ระเบียง มองไปเห็นหาดกะตะ และ กะตะน้อย สุดฟินนนนนนนนน

ห้องน้ำเขาก็มีทั้งแบบ Bath และ Shower นาจาาาาาาา

ถ่ายรูปไปสักพักเริ่มหิวววว เราไปทานมื้อเช้ากันดีกว่า ห้องอาหารที่นี่ไม่ใหญ่มากค่ะ แต่ก็รองรับจำนวนคนเข้าพักได้ มีที่นั่งทั้งโซน Indoor และ Outdoor มีให้เลือกทั้ง อาหารไทย จีน และ ตะวันตก แต่ที่ปิงชอบสุดคือจาน เป็นจานกระเบื้องลายไทย น่ารักดี <3

ฮี่ฮี่ เอาให้อิ่มไปเลยยยยยยยยย : D

เติมพลังเรียบร้อยยยยยยยย เราไปสำรวจรอบๆกันต่อ เอาให้เสร็จ ละจะได้ไปเที่ยวข้างนอกละ รู้ว่าอยากอ่านตอนเที่ยวแล้ว ขอเวลาปิงอีกแป๊ปน้าาาาา ต่อไปคือดาดฟ้า เป็นสิ่งที่ปิงชอบที่สุดในโรงแรมนี้ ฮ่าๆ ดาดฟ้าคือดี ! กว้างมากๆ มีเก้าอี้ให้นั่งชิล ตอนกลางคืนสั่งคอกเทลขึ้นมาทานได้ โชคดีวันที่ปิงไปฟ้าเปิด ( ถึงจะเป็นหน้าฝน ) ปิงเลยถ่ายรูปมาให้เพื่อนๆดูเยอะเลยยยยยยยยย

ขอโผล่ไปดูฟิตเนสกับสปาเขาสักหน่อยยยยยยยยย ป.ล. ตอนเช็คอิน เพื่อนๆจะได้ voucher นวด ฟรีคนละ 15 นาทีนะ ไม่แน่ใจว่าถ้าคนหนึ่งไม่ใช้ แล้วเอามารวมให้อีกคนเป็น 30 นาทีได้ป่าว ถ้าได้จะดีมากกกกกกกกก

เก็บตกบรรยากาศรอบๆโรงแรมอีกนิด แล้วเราไปเที่ยวกันค่ะ Go Go Go !

ไหนๆฟ้าก็เป็นใจแล้ววววววววววว ที่แรกของพวกเราวันนี้ จะเป็นที่อื่นไปไม่ได้ นอกจาก ชายหาดดดดดดดด สำรวจที่พักเสร็จ พวกเราก็รีบซิ่งลงมาที่ ' หาดกะตะ ' ทันที โอ้โห วันนี้หาดคนเยอะมากกกกกกกกกกก ไทย จีน ฝรั่ง อาบแดด เล่นน้ำกันใหญ่ เป็นภาพที่สวยงามมากๆ ควรเก็บไว้เป็นความทรงจำ : )

ไปต่อกันที่ถนนถลางในย่านเมืองเก่าค่ะ ถนนนี้นี่มันยังไง มาทีไรก็ต้องแวะ555555 ด้วยความสวยงามและสีสันของตึกในย่านนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต้องมาเดินเล่น ถ่ายรูป แวะร้านนู้นร้านนี้

รอบนี้ปิงอาจจะไปร้านซ้ำกับรอบก่อนๆบ้าง ย้ำว่า ' บ้าง ' เพราะเพื่อนร่วมทริปเขาไม่ได้มาภูเก็ต เป็น 10 ปีแล้ว เราก็ต้องพาเขาไปโดนของดีของเด็ด เริ่มจาก ' Torry’s ice cream boutique '

ร้านนี้อยู๋ในซอยรมณีย์ค่ะ ตัวร้านด้านนอกเป็นสีชมพูน่ารักๆ แต่ด้านในใช้โทนสีอบอุ่น อย่างเหลือง น้ำตาล ขายไอศกรีม และ ขนมหวานอื่นๆ รอบนี้เราสั่ง เมนู Phuket Treasure เป็นไอศกรีมทานคู่กับขนมพื้นเมืองภูเก็ตหลายอย่าง และอีกถ้วยเป็นไอศกรีมทานกับขนมอาโป้ง นอกจากหน้าตาดีแล้ว รสชาติก็ดีด้วยยย ร้านเปิด 11.00 - 21.30 น. วันอังคาร - อาทิตย์ ข้อมูลเพิ่มเติมลิงก์นี้เลยฮับบบ https://www.facebook.com/torrysicecream/

หลังจากนี้ก็จะเป็นการตามล่าหาสตรีทอาร์ต ซึ่งปิงเคยทำรีวิวสตรีทอาร์ตไปแล้วตอนมาภูเก็ตครั้งแรก เพื่อนๆสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่รีวิวนี้ https://goo.gl/vPRwRX ในลิงก์อ่ะมีเยอะเลย ส่วนอันนี้ถ่ายมาให้ดูเป็นน้ำจิ้มๆๆ : p

เดินสักพักเริ่มหิว หาของกินดีกว่าค่ะ55555555555 จากย่านเมืองเก่า พวกเราพุ่งไปที่ ' ร้านหมี่อ่าวเก ' จริงๆเดือนเมษาปิงมาร้านนี้แล้วนะ แต่มาวันที่ร้านปิด รอบนี้ต้องโดนนนนนนน บอกเลยยยยยยยยยยย ปิงรู้จักร้านนี้เพราะครั้งแรกที่ปิงมาภูเก็ตปิงไปกินร้านหมี่ต้นโพธิ์ แล้วมีแฟนเพจ inbox มาบอกเยอะมากว่ารอบหน้าต้องมา ร้านหมี่อ่าวเก ขายหมี่ฮกเกี้ยน บี้หุ้น เหมือนกันค่ะ อร่อยมากๆๆๆๆๆๆเหมือนกัน แต่อร่อยคนละแบบกับหมี่ต้นโพธิ์

ดีค่ะเพื่อน ดีค่ะ นี่ไม่อิจฉาเลยข่าาาาาาาาาาาาาา

ร้านอยู่ถนนพูนผล ปากซอยพูนผล 3 เปิด 10 โมง 11 โมง ปิดบ่ายสามค่ะ มาไม่ถูกโทร 076-213-058 ออกจากร้านนี้พวกเราตัดสินใจกับไปนอนเปื่อยที่โรงแรม แล้วออกมาดูพระอาทิตย์ตกที่หาดกะตะ ที่คิดไว้คือวันนี้ฟ้าเป็นใจละ ต้องใช้ให้คุ้ม แต่พอถึงเวลาที่พระอาทิตย์ตกจริงๆ เมฆบังซะงั้น T_T ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ได้ทำเฮนน่ารูปโลมาฆ่าเวลา เย้

ปิดท้ายวันแรกด้วยอาหารพื้นเมืองเด็ดๆที่ ' ร้านหมอมูดง ' ร้านนี้เป็นร้านที่ปิงชอบที่สุดร้านหนึ่งในภูเก็ตเลยยย อยู่นอกเมือง ต้องมีรถถึงจะไปได้ แต่ถ้าไปแล้วรับรองว่าคุ้ม ร้านอยู่ในซอยป่าหล่าย ถนนเจ้าฟ้าตะวันออก ติดกับคลองมูดง เปิด 10.00 – 21.30 น. โทร 076-282-302 เมนูแนะนำคือ หมูคั่วเกลือ ปลายัดไส้ ผักเหมียงผัดไข่ สั่งวนๆไป รอบนี้สั่ง แกงคั่วหอยขมมาลอง อื้อหืมมมมมมมม อร่อยน้ำตาไหล :'D

จบไปแล้วครับสำหรับวันแรกในภูเก็ต เก็บไป 1 หาด 3 ร้านอาหาร / ขนม

————— DAY 2 —————

วันนี้วันที่สองในภูเก็ต พวกเรามีแพลนไปเที่ยว จุดชมวิวเขาขาด หาดในยาง และ หาดไม้ขาว ( ในชื่อรีวิว ปิงขออนุญาตใช้คำว่าหาดเป็น สรรพนามของจุดชมวิวเขาขาด เพื่อให้ชื่อรีวิว จำง่าย และ ไม่ยาวจนเกินไปปป ไม่โกรธกันๆ ) โอเค ! ในเมื่อวันนี้เราจะไปเที่ยวกันอย่างหนักหน่วง มื้อเช้าเราก็ต้องไปเติมพลังให้เต็มถัง ร้านนี้ปิง proudly present สุดๆๆๆ เลิฟมาก อยากให้ขยายสาขามาที่กทม.บ้าง ชื่อ ' ร้านข้าวต้มหมูภูเก็ต ' แต่เมนูเด็ดคือหมี่สั่ว

ร้านอยู่ตรงสี่แยกแถวน้ำค่ะ ไม่เกิน 11 โมงก็ปิดแล้วววว หมี่สั่วเป็นอาหารพื้นเมืองอีกอย่างของภูเก็ต มีทั้งแบบน้ำและแบบแห้ง แต่เราชอบแบบแห้งมากกว่า มันคือเส้นหมี่ ปรุงรส ทานคู่กับหมูสับ กระดูกหมู ไข่ลวก ( บางคนก็ชอบสั่งตับ / เลือดหมูเพิ่มด้วย ) ชามละ 40 - 50 บ. เท่านั้นนนนนนนน

กินเสร็จ พวกเราก็ขับรถไปที่ ' จุดชมวิวเขาขาด ' จริงๆไปหอชมวิวมาด้วยนะ แต่รู้สึกว่ามันไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้น ต้นไม้บังหมดดดดด แนะนำเพื่อนๆไปตรงที่เป็นจุดชมวิวข้างทางดีกว่า เห็นทะเลแบบเต็มๆ ลมพัดแบบเต็มๆ ถ่ายรูปเล่นได้ยาวๆเลยย

จากจุดชมวิวเขาขาด เราไปต่อกันที่ ' หาดในยาง ' ค่ะ หาดนี้อยู่ในอุทยานแห่งชาติสิรินาถ อยู่ทางตอนเหนือของภูเก็ต และห่างจากสนามบินภูเก็ตแค่ 1 กิโลเมตร เป็นหาดที่สงบมาก ถ้าเทียบกับหาดป่าตอง, กะตะ, กะรน ว่างๆก็มานั่งเล่น ดำน้ำได้ น้ำใสอย่าบอกใครรรรรรรรร ( แล้วมาทำรีวิวทำไม แป่ว )

หาดนี้ร่มรื่นสุดๆไปเล้ยยยยยยย

หมาของชาวประมง วิ่งเข้ามาเล่นกับเราเฉยยย :')

พวกเราอยู่ที่หาดในยางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ขับรถไปเที่ยวต่อที่ ' หาดไม้ขาว ' ค่ะ หาดไม้ขาวที่หาดที่คนชอบมาถ่ายรูปกับเครื่องบิน เนื่องจากหาดนี้อยู่ใกล้สนามบินมากๆๆๆ เขาบอกว่าถ่ายตอนเครื่องบินลงจะสวยกว่า เพราะจะได้ภาพระยะใกล้เว่อร์ๆ แต่จากการสอบถาม พี่ยามโรงแรมข้างๆ พี่แกบอกหลังๆไม่ค่อยมีเครื่องบินลงทางนี้ ส่วนใหญ่จะเครื่องขึ้น แล้วก็จริงอย่างที่พี่แกบอก เรานั่งรอ 5 - 6 ลำ บินขึ้นหมดเลยยยยยยย รูปที่ถ่ายมากากมาก ไม่ว่ากันนะ555555555 แต่สนุกๆดี แนะนำให้ไปดู ได้รูปสวยๆก็เอามาอวดปิงได้ อิ๊

เที่ยวกันเพลิน เที่ยวกันแบบลืมเวลามาก รู้ตัวอีกทีจะ 4 โมงละยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง พวกเราเลยกะเข้าไปเช็คอินที่พัก ( วันนี้ย้ายที่ ) แล้วค่อยออกไปกินมื้อเย็นแบบเปรมๆทีเดียว : p

ที่พัก 2 คืนสุดท้ายของพวกเรา เป็น Pool Villa ไม่มีชื่อ จาก airbnb อยู่ใกล้หาดสุรินทร์ค่ะ ใน google map ให้ search ว่าโลตัส เชิงทะเล บ้านนี้จะอยู่เลยโลตัสมานิดนึง และอยู๋ฝั่งตรงข้ามโลตัสนะ หน้าซอยจะมีอู่รถ ชื่อ ' อู่เอ๋ย ' เข้าไปในซอยก็เจอเลย อยู่ขวามือ หลังอู่ค่ะ บ้านมี 2 หลังติดกัน

หลังหนึ่งอยู๋ได้ 4 คน ราคา 2,600 บ. / หลัง / คืน ตกคนละ 650 บ. อ่ะคุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้วววววววว คือมีสระส่วนตัวในบ้าน 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น + ครัว คือดี <3 ป.ล. ถ้าเข้าพักเกิน 4 คน บวกเพิ่มคนละ 300 บ. ดูข้อมูลเพิ่มเติม / จอง ที่ลิงก์นี้ https://th.airbnb.com/rooms/9082886?wl_source=list&wl_id=77194799&role=wishlist_collaborator&adults=1&children=0&infants=0

ชั้นล่างเป็นครัวและห้องนั่งเล่น มีทีวีจอใหญ่ wifi และเครื่องครัวครบ ! ในห้องใต้บันไดมีเครื่องซักผ้าอีกกกก โอ๊ยยยยยยยยย

ห้องนอนห้องแรกอยู๋ชั้นล่าง ติดกับสระว่ายน้ำ มีห้องน้ำในตัวค่ะ

ไหนขอดูชั้นสองหน่อยซิ

ตอนนี้ปิงกับเพื่อนเหมือนคนบ้าเลยค่ะ เดินไปรอบบ้านแล้วก็พูดซ้ำๆว่ามันดีๆๆๆๆๆ555555 ห้องนอนชั้นบนกว้างกว่าชั้นล่าง มีทีวีอีกเครื่อง มีโต๊ะทำงาน มีห้องแต่งตัวแยกออกจากห้องนอน หมดปัญหาผู้หญิงของเยอะ ชุดเยอะ ไม่มีที่วาง และที่เลิฟมากคือมีที่เป่าผมมมมมมมม * 3*

ปิดท้ายด้วยห้องน้ำชั้นบน ที่มีทั้งแบบ Bath และ Shower ครีมอาบน้ำ ยาสระผม มีให้ครบบบ ไม่ต้องเอามาเอง อุปกรณ์อะไรขาดเหลือสามารถดูในห้องเก็บของตรงที่จอดรถได้ แต่ที่เราดูๆ เราว่าเขามีให้ครบนะ ไม้กวาด ไม้ถู น้ำยาล้างจาน ฯลฯ

เอาเป็นว่า Pool Villa จาก airbnb นี้มันดีงาม เกินราคา 650 บ. / คนมั่กๆๆๆๆๆๆ ไปโดนเถอะ แต่ตอนเนี้ยปิงหิวข้าวละ ยังไม่ได้กินไรเลยตั้งแต่เที่ยง ขอออกไปหาอะไรอร่อยๆกระแทกปากหน่อย

จากการสอบถามเพื่อนคนภูเก็ต เราก็ได้จุดหมายปลายทางเป็น ' ร้านเซียงเชียน ' ร้านนี้ขายอาหารไทยจีน หนักไปทางจีน แต่เป็นอาหารจีน ที่ไม่เลี่ยนเลย ไม่มันด้วย รสชาติสะอาดมาก ร้านอยู่ถนนนิมิต ซอย 2 เปิด 11.00 - 14.00 น. และ 16.30 - 21.30 น. มาไม่ถูกโทร 076-215-928 ได้เลยยย

เมนูแนะนำของที่นี่คือ ต้มยำปลาน้ำข้น, ปลาผัดเครื่องแกง, มะระผัดไข่, หมูย่าง หมูแดง แต่เราสั่งหมูผัดขิง ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ผัดผักบุ้ง ก็ไม่ผิดหวัง กินเสร็จแล้วจะกลับที่พักนอนเลย ก็จะรู้สึกผิดกับตัวเองนิดนึง ขอไปเดินย่อยหนอ่ยแล้วกันที่ ' ตลาดปล่อยของ ' หรือที่คนภูเก็ตเขาเรียกว่า ' หลาดปล่อยของ '

ที่นี่ถือเป็นแหล่งรวมของวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งเลย เพราะนอกจากเสื้อผ้าแล้ว ยังมีของใช้ และ street food ให้เพื่อนๆได้เดินช้อป เดินชิมด้วยยยย มีดนตรีสดให้ฟังเพลินๆ ถ้าไปวันธรรมดา หน้า low ก็อาจจะเหงาหน่อยๆ แต่ถ้าเสาร์ - อาทิตย์นี่ไม่ต้องพูดถึง.. ครื้นนนนนนนนนน ! เกือบลืมบอก ตลาดอยู่บนถนนดีบุกตัดใหม่ หลัง ททท. และลานมังกร ข้างห้าง Lime Light นาจาาาาาาาาา

จบไปแล้ววันที่สองงงงง เหนื่อยค่ะ ! จะเที่ยวอะไรขนาดนี้คนเรา วันเดียวเที่ยวไป 2 หาด 1 จุดชมวิว 2 ร้านอาหาร 1 ตลาด แต่ก็ยังไม่ทั่วภูเก็ตค่ะ ยังมีอีกเยอะ

————— DAY 3 —————

เดินทางมาถึงวันที่สามแล้วววววววว ต้องบอกเลยว่า 2 วันที่ผ่านมา เราเที่ยวกันหนักมาก ปิงไปภูเก็ตมา 7 รอบแล้ว ไม่มีครั้งไหนเที่ยวทั่ว เท่าครั้งนี้ แต่ ! ทริปของเรายังไม่จบค่ะ5555555 ขอ start วันที่สามที่ ' ร้านโรตีน้ำแกงแถวน้ำ ' คราวก่อนไปโดนร้านอรุณโภชนาก็อร่อยดี แต่คนภูเก็ตกระซิบมาว่า คนพื้นที่จริงๆเขากินร้านนี้นะหนู รอบนี้เลยขอมาโดนด้วยตัวเอง ที่สี่แยกแถวน้ำค่ะ

ตอนแรกเห็นร้านก็รู้สึกว่าเห้ย มันจะนั่งพอหรอ เพราะคนเข้ามากินเรื่อยๆเลย แต่ก็มีที่นั่ง เพราะร้านนี้เป็นอารมณ์แบบ กินเสร็จก็แยกย้าย ไม่นั่งแช่ไม่เม้าท์มอย เมนูหลักๆก็โรตี ใส่ไข่ ไม่ใส่ไข่ แกงเนื้อ แกงไก่ แกงปลา มัสมั่นเนื้อ มัสมั่นไก่ ทานคู่กับชา กาแฟ เป็นมื้อเช้าฟีลคนใต้ สงสารก็แต่พี่คนทำ สะบัด + ตี โรตีรัวๆ เมื่อยแทนนนน

ร้านเปิดทุกวัน 6 โมงเช้าถึงเที่ยงๆ มาไม่ถูกโทร 076-234-448 นะค้าาาาาา

เขยิบจากร้านเมื่อกี๊มานิดนึง ก่อนถึงสี่แยก มีคาเฟ่น่ารักๆชื่อ ' The Tent ' ร้านไม่ใหญ่ แต่ก็จัดสรรพื้นที่ได้ดี มีทั้งโซนที่เป็นโต๊ะ และโซนที่เป็นเต็นท์ ซึ่งน่ารักมากๆๆๆเลย มีทั้งเมนูของหวาน ของคาว และ เครื่องดื่ม ร้านเปิด 11.00 - 22.00 น. ปิดวันอังคาร ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจของร้านค่ะhttps://www.facebook.com/thetent.phuket/

ไม่ได้หน้าตาดีอย่างเดียวน้า อร่อยด้วย

ออกจากร้านนี้เราก็ตัดสินใจแยกกับคู่รัก ไปนั่งทำงานที่ ' ร้านหนังสือ ' ( คาเฟ่ ) บนถนนถลางค่ะ ( อ่านรีวิวภูเก็ตรอบที่มีร้านหนังสือ https://goo.gl/cHc5TV ) ก็ต้องให้เวลาเขาไปสวีทกันมั่งไรมั่งงงงงงงงงงง ผ่านไป 2 เกือบ 3 ชั่วโมง เพื่อนก็มารับกลับที่พักค่ะ พวกเราเล่นน้ำกันแป๊ปนึงแล้วก็ออกไปดูพระอาทิตย์ตก

จากบ้านพัก หาดที่ใกล้ที่สุดก็คือ ' หาดสุรินทร์ ' หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อหาดนี้ หรือ เคยได้ยิน แต่ไม่คิดจะไปเที่ยว จะบอกว่าจริงๆแล้วหาดนี้สวยมากนะ หาดยาวมากกกกก คลื่นแรง เหมาะไปโต้คลื่นสุดๆ

เจองานดีๆ เราก็ต้องถ่ายเก็บไว้ถูกมั้ยคะ..

เนื่องจากนี่เป็นคืนสุดท้ายในภูเก็ต สามสหายตัดสินใจจะทำกับข้าวกินกันเองที่ที่พัก อยู่ใกล้โลตัสอยู่แล้วหนิ ไม่มีปัญหา รหว่างทางกลับจากหาดสุรินทร์ พวกเราเลย แวะซื้อผัก หมู ไก่ ข้าว เข้ามาเลยยยยยยยย หมดนี่หารกันคนละ 80 บ. เองงงงงง แล้วได้จำนวนกับมากกว่าทุกมื้อที่ผ่านมา *O*

สรุปวันที่สามเที่ยวไป 2 ร้านอาหาร / ขนม กับ 1 หาด เย้

————— DAY 4 —————

เผลอแป๊ปเดียววันสุดท้ายแล้วเหวยยยยยยยยยยย วันนี้ขอชิลแล้วกันนะ เที่ยวไม่หนักกกกกก เริ่มจากมื้อเช้า นี่ตื่นมาก็เจอขนมจีน ' ร้านป้าไม ' วางอยู่บนโต๊ะชั้นล่างละ คือเพื่อนตื่นเช้าไปขับรถเล่นละซื้อมาให้ อร่อยมากกกกก เส้นนุ่มมมมมมม แนะนำค่ะร้านนี้ ป.ล. ด้วยความหิว + ง่วง เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูนะจ๊ะ จากที่พักพวกเราออกไปทำบุญไหว้พระที่ ' วัดฉลอง ' หรือ วัดไชยธาราม เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของภูเก็ต ใครมาก็ต้องแวะนมัสการหลวงพ่อแช่มผู้มีกิตติศัพท์ในการรักษาโรค และชมความสวยงามของ พระมหาเจดีย์ พระจอมไท

ออกจากวัดฉลองพวกเราก็แวะร้านขนมใกล้ๆ แต่โชคไม่ดีฝนตกหนักมาก ไม่ได้เอาร่มลงมาด้วย เลยนั่งรถฝนหยุดไปเกินชั่วโมง สุดท้ายก็ออกมาได้ และขับรถไปคืนคนที่เพื่อนยืมรถมาค่ะ พวกเราปิดท้ายทริปภูเก็ต 4 วัน 4 คืน สุดมันส์ ด้วยอาหารทะเลอร่อยๆที่ ' ร้านแหลมหินซีฟู้ด ' ร้านอยู่ระหว่างทางไปสนามบิน ( มีสาขาอื่นด้วย ) เปิด 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่มค่ะ เมนูแนะนำได้แก่.. ทุกเมนู 555555555 มันอร่อยทุกอย่างจริงๆ เราสั่งปลากระพงทอดน้ำปลา ผัดผักบุ้ง หมึกนึ่งมะนาว ข้าวผัดปู และ ที่ดีงามมากๆอีกอย่างคือน้ำมะพร้าว

จบแล้วทริป Phuket 1000% กับ 5 หาด 8 ร้านอาหาร / ขนม 1 ตลาดนัด 1 วัด 1 โรงแรม 1 Pool Villaaaaaaaaa ! หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆที่มีแพลนมาเที่ยวภูเก็ต ไม่มากก็น้อยยยยยย ใครอ่านทริปนี้แล้วรู้สึกว่าเห้ย ยังไม่ครบอ่ะ ยังไม่ถึง 1000% ลองอ่านรีวิวเที่ยวภูเก็ตอันเก่าๆ ของปิงดูก่อนนะ มันค่อนข้างครอบคลุมเลยยย อิอิ 1. ทริปเดียวเที่ยวภูเก็ต – กระบี่ – พังงา 4วัน 3คืน อย่างฟิน !https://goo.gl/cHc5TV 2. ภูเก็ต-พังงา หน้าฝนก็เที่ยวได้.. ไม่แคร์ !https://goo.gl/1Vfu6p 3. 3 วัน 3 คืน เที่ยวเกาะเฮ เกาะไม้ท่อน ตะลอนกินทั่วภูเก็ตhttps://goo.gl/uS8KbU 4. ‘ ศรีพันวา ’ ต้องมาให้ได้สักครั้งhttps://goo.gl/pM7kWi 5. ไปภูเก็ตพักไหนดี ? | 8 โรงแรมน่านอน จ.ภูเก็ตhttps://goo.gl/JZ6Qkt ติดตามรีวิวอื่นของเราได้ที่ http://blissoutthere.com/ อย่าลืมกดติดดาว / see first เพจเราน้า จะได้เห็นหน้ากันบ่อยๆhttps://www.facebook.com/BlissOutThere/ ใครชอบดู story เข้า IG : blissoutthere ได้เลย เจอกันทริปหน้าค่ะ บ๊ายบายยยยย <3

เกาะนางยวน สวนปะการังน้ำตื่น(หนึ่งวันก็เที่ยวได้)

เกาะนางยวน รีสอร์ท (Koh Nang Yuan Resort) จ.สุราษฎร์ธานี

เที่ยวจนวันลาหมด Jay

July 6, 2017, 8:29 PM July 7, 2017, 3:29 PM

เกาะนางยวน สวนปะการังน้ำตื้น (วันเดียวก็เที่ยวได้)

สำหรับผมแล้วการได้ก้าวขาออกไปยังสถานที่ใหม่ๆเป็นการให้ของขวัญกับตัวเองครับ บางคนอาจคิดว่ามันไร้สาระ สิ้นเปลือง แต่ผมมองว่าเกิดมาครั้งนึงควรใช้ชีวิตบนโลกให้คุ้มค่าครับ ทำไปเถอะครับอะไรที่เราสบายใจ และคนอื่นไม่เดือดร้อน

***กระทู้นี้ภาพบางส่วนผมเคยเขียนไว้ในกระทู้ จิบเบียร์ให้ปลาอิจฉา @เกาะเต่า ซึ่งเป็นกระทู้แรกที่ผมหัดเขียน แต่ครั้งนี้เลยขออนุญาตนำมาเขียนใหม่ ในฉบับเกาะนางยวนเพียวๆ  เกาะนางยวน เป็นเกาะที่สามารถไปพักบนเกาะก็ได้ หรือแวะไปก็ได้ โดยไปครั้งนี้ ผมและเพื่อน ใช้วิธิแวะครับ เเต่แวะทั้งวันนะฮ่าๆ โดยที่พวกเราพักที่เกาะเต่า แล้วแบ่งเวลาอีก 1 วันเต็มมาเที่ยวที่เกาะนางยวน

-การเดินทาง คุณสามารถเลือกได้สองเส้นทางคือ ขึ้นเรือที่จังหวัดชุมพร หรือที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยคุณต้องเดินทางไปลงที่เกาะเต่าก่อน จากนั้นจึงต่อเรือไปยังเกาะนางยวน

***อย่างกลุ่มพวกผมไปจากท่าเรือชุมพร แล้วไปจากเกาะเต่า แต่ก็มีหลายท่าเรือไว้คอยบริการ ส่วนมากผู้ให้บริการเรือข้ามฟากจะมีบริการรับส่งจากสถานีขนส่งหรือสถานีรถไฟไปยังท่าเรือ นอกจากนี้ยังมีจุดบริการรับฝากรถบริเวณท่าเรือด้วย พวกเราขึ้นเรือที่ท่าเรือเร็วลมพระยา บริเวณหาดทุ่งมะขามน้อย ห่างจากตัวเมืองชุมพรประมาณ 28 กิโลเมตร เรือไปเกาะเต่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.45 ชั่วโมง ค่าโดยสารประมาณคนละ 450 บาท#เกาะนางยวน #สุราษฎร์ธานี #เที่ยวจนวันลาหมด

เกาะนางยวน หมู่เกาะเล็กๆ สามเกาะ ที่เชื่อมต่อกันโดยสันทรายขาวสะอาดสวยงาม ตั้งอยู่ห่างจากเกาะเต่า จ. สุราษฎร์ธานี เพียง 480 เมตร ว่ากันว่าในอดีตมีหญิงสาวชาวญวนผู้หนึ่งถูกคลื่นลมทะเลพัดมาติดบนเกาะแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อเกาะนางยวน

จุดเด่นของเกาะนางยวนคือสันทรายที่เชื่อมเกาะเล็กๆ ทั้งสามเกาะเข้าด้วยกัน ลักษณะคล้ายทะเลแหวกที่จังหวัดกระบี่ นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำและอาบแดดกันที่นี่

เป็นเกาะที่อยู่ฝั่งอ่าวไทย แต่น้ำใสและสวยไม่แพ้ฝั่งอันดามัน

มีต้นไม้รุ่มรื่น เหมาะกับการพักผ่อนเป็นอย่างมาก ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันเลยครับ

***เราเริ่มต้นกันที่เกาะเต่า เวลาประมาน 9 โมงเช้าก็เตรียมตัวกันไปที่ไฮไลท์นางเอกที่ใกล้เกาะเต่า นั่นคือ “เกาะนางยวน” ทะเลแหวกแหก........ใจ (แหม่ คิดว่าจะแหกอะไรครับ แหม่ๆ) เริ่มด้วยการไปยืนหน้าด้านต่อราคาค่าเรือข้ามเกาะ พวกผมเหมาเรือไปกลับราคา1600 สี่คน  ต่อเหลือ 1200 (ก็ยังคิดว่าแพงอยู่ครับ-,.-) เเต่เพื่อนผมมันต่อแบบหักดิบมาก ต่อให้เหลือ 1000 ฮ่าๆเเต่ก็ไม่ได้

เราใช้เวลาในการนั่งเรือประมาณ 20 นาทีก็ถึงเกาะ เพราะเกาะห่างกันแค่ 480 เมตร

พอถึงท่าเรือผมและเพื่อนนี่ ตื่นเต้นกันมาก พร้อมกับคำทิ้งท้ายของพี่คนขับเรือว่า บ่ายสามพี่จะมารับนะฮ่าๆได้การละ เพราะตอนนี้พึ่งเก้าโมงๆเอง

ต่อแถวรับของฟรี เอ้ยต่อเเถวเดินเข้าไปยังเกาะ ผมขอแนะนำให้ใจเย็นๆกันด้วยนะครับ เพราะคนเยอะ อาจจะมีการเบียดกันบ้าง และที่สำคัญระมัดระวังกันด้วย อาจตกสะพานได้นะครับฮ่าๆ

เนี่ย บอกเเล้วครับว่าคนเยอะ

ระหว่างเบียดกันเดินอยู่นั้น ก็หมุน 360 องศาชมความสวยงามของเกาะรอไปละกัน

นี่คือป้ายแลนด์มาร์คของเกาะ น่าเสียดายครั้งนั้นที่ไปผมพึ่งหัดถ่ายรูป มานั่งดูตอนนี้ ยังเสียดายมุมที่ควรได้แต่ก็ไม่ได้

พอถึงทางเข้าแล้วก็จ่ายตังค์ค่าตั๋วกันหน่อย ถ้าจำไม่ผิดแยกราคาคนต่างชาติกับราคาคนไทยด้วย

บนเกาะไม่ไม่มีของขาย ไม่ให้พกอาหารขึ้นมา แต่ก็มีที่ให้ซื้อครับ นี่คืออุปกรณ์ดำน้ำที่เราได้มาจากพี่คนขับเรือ ธรรมดาครับไม่ซื้อ trip ก็ต้องทำใจหน่อยฮ่าๆ

นั่งทำใจเตียมความพร้อมสู้กับแดดกันก่อนละกัน

แต่ด้วยความที่วิวมันสวยจนอดใจไม่ไหว ร้อนก็ร้อน ไม่สนละตอนนี้

เออร้อนจริงครับ ตัวผมนี่ไหม้เลย จากคนขาวๆดำหมดเลยฮ่าๆ

จากนั้นเราก็หาจับจองที่นั่งครับ โดยที่เราเลือกฝั่งที่ดำดูปะการังได้ง่าย เเละก็คนเยอะดี

อย่างที่บอกข้างต้นเลยครับว่าเกาะนางยวน สามารถดำน้ำดูปะการังบริเวณน้ำตื้นได้

คนก็เลยเป็นแบบนี้เลยครับ ดูง่าย สบาย เพลินตาเลยทีเดียวฮ่าๆ

บรรกาศโดยรอบที่สวยงาม

ตัดภาพมาที่เพื่อนผมครับ นี่ดำน้ำหรือเกยตื้นครับเพื่อนนนน ฮ่าๆ

ด้วยความที่ตอนนั้นเราไม่มีกล้อง พวก gopro รูปใต้น้ำเลยไม่มี แต่ภาพที่ติดตาบอกได้เลยว่ามันสวยมากครับ ยิ่งลึกยิ่งเสียว เอ้ยยิ่งสวย แต่ผมไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เพราะว่าช่วงนั้นหัดดำน้ำใหม่ๆบอกเลยว่ากลัวครับฮ่าๆ

ดำน้ำจนพอใจก็เดินเล่นหาถ่ายรูปไปเรื่อย ถ่ายยังไงก็ไม่พอครับ

จากรูปนี้เห็นได้ชัดเลยว่า ไหม้จนเกรียม

บรรยากาศโดยรูปครับ บอกเเล้วไงว่าสวยไม่แพ้ ฝั่งอันดามัน

อีกฝั่งก็ดำได้เหมือนกันนพครับ แต่หอยบาดเท้าผม เลยไม่ได้ดำต่อ(แต่ความจริงแล้วกลัวงูทะเลครับฮ่าๆ )

ทะเลที่นี่น่ารักมากครับ เอ้ยสวยมากครับ

รูปนี้ตอนที่ผมแอบถ่าย ผญ คนนี้ เขายืนเหม่ออยู่นานเลย จึงทำให้ผมได้ภาพที่สวยงาม

มีปะการังผสมอยู่กับทรายเต็มไปหมด

ผมขออนุญาตหยิบขึ้นมาถ่ายรูปหน่อยละกัน

อย่างที่บอกว่าบนเกาะมีร้านอาหารอยู่ร้านนึง แต่ก็แพงพอสมควร นี่เลยครับ หน้าตาร้าน บรรยากาศน่านั่งมากเลยทีเดียว

นอนพักอยู่เปลจนเบื่อ ตอนนี้ผมกับเพื่อนกำลังเตรียมตัวไปเดินเลาะละครับ เพราะที่ที่นั่งมองอีกฝั่งที่มีบ้าน บรรยากาศน่าเชิญชวนมาก เอาวะ ไม่รอละ ลุยๆ

ตรงนี้ผมว่ามันสวยมากเลยครับ  ผมลงไปแช่ในทะเลรอถ่ายรูปเลยแหละครับ เปื่อยก็ยอมจม(ทุ่มทุนสร้างมากกก) กว่าจะมีคนเดินผ่านก็นานพอสมควร เพราะถ้าจะไปบังคับเพื่อนเดิน มันก็จะไม่เนียน เลยยอมเเช่ในน้ำ คิดในใจเพื่อคอนเส็ปรูปที่ต้องการ เอาก็เอาวะ!!

จากนั้นเราก็เดินไปพักยังโขดหิน ที่มีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงา นอนดูบรรยากาศโดยรอบอย่างอิ่มเอมใจ ถ้าแถวบ้านผมนี่ เรียกว่านอนเว็นเลยละฮ่าๆ

ทางเดินแต่ละที่จะมีสะพานไม้คอยเชื่อม บอกละไงครับ ว่ามันสวยล่อตาล่อใจมาก

ไม่ว่าจะมองมุมใหนก็สวยไปหมด บอกได้เต็มปากเลยว่าผมหลงรักเกาะนางยวนมาก

สันทรายที่เชื่อมเกาะเล็กๆทั้งสามเกาะ เป็กเอกลักษ์อย่างนึงของเกาะนี้เลยครับ นักท่องเที่ยวนิยมนอนอาบแดดกันถ้วนหน้า แต่ยกเว้นพวกผมนะครับ ฮ่าๆ ร้อนขนาดนั้นไม่อาจจะทนได้ครับ

และเเล้วเพื่อนผมก็หลับครับ นี่บางทีก็คิดว่ามันลืมรึเปล่าว่าต้องไปปีนดูจุดชมวิวต่อ ตื่นๆเพื่อนตื่น

พอซึมซับบรรยากาศจนพอใจก็ได้เวลาไปแอจเวนเจอร์กันสักหน่อย ปีนเขาแค่นี้สบายยย เพระาเท่าที่มองจากข้างล่างแล้ว หึหึ นิดเดียวเอง

ว่าละก็ไม่รอช้าครับ เดินกลับไปอีกฝั่ง

แหม๋ เดินชิลเชียวนะมึง

ทะเลกับสีแดง เวลาถ่ายรูปดดยส่วนตัวผมว่า สวยมากเลยนะครับ สีมันตัดกันดี รอบหน้าผมต้องไม่พลาดที่จะพกเสื้อแดงไปฮ่าๆ

นี่คือทางเดินที่เราจะไปปีนเขาจุดชุมวิวนะครับ

เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักเพราะเราไม่รีบ

ระหว่างทางแวะได้ตามใจชอบ

แวะถ่ายรูป

แวะดูวิว

เห็นยอดเขาอยู่ไกลๆ นิดเดียวเอ๊งงงง

และเเล้วเราก้ขึ้นมาถึง ฮ่าๆ จุดชมวิวจะมีสามชั้นครับ ชั้นที่ 1 นั้นคนจะเยอะเพราะมันขึ้นง่าย ต่อแถวกันยาวยิ่งกว่าของลด 70 %

เพื่อนผมก็ต่อครับ

เเล้วมันก็ได้ภาพมา ถ่ายให้มันเสร็จผมกับเพื่อนอีกคน ต้อง ปีนขึ้นไปอีกชั้นครับ ว่าละก็ทิ้งพวกมันไว้ตรงนี้

นี่ไงครับ อีกชั้น มองลงไปจะเห็นผู้คนเยอะแยะเลยครับ อยู่ข้างล่าง เเต่ชั้นนี้กว่าจะขึ้นมาได้ ก็ยากพอสมควร ถ้าพื้นรองเท้าไม่ดี ลื่นได้นะครับ

จุดที่ผมขึ้นมา 10 ใน 100 คนเท่านั้นที่จะขึ้นมา ไม่บ้าก็ใกล้เคียงนะครับฮ่าๆ กระดิกตัวทีนี่เสียวยันตาตุ่ม

เเต่ๆๆๆๆ ก็มีสูงกว่านี้นะครับ ซึ่ง 2 ใน 100 คนเลยละที่จะขึ้นไป

นั่นคือตรงนี้เลยครับ แหม่แค่มองก้จินตานารถึงการสั่นของขาแล้วครับ

พอชมวิวทุกอย่างจนอิ่มอกอิ่มใจแล้วก็นั่งเรือข้ามมาเกาะเต่า อาบน้ำแต่งตัวรอเตรียมท่องราตรี เย่ห์~ ที่ที่โปรดปรานในเวลากลางคืนของทุกคนที่ไปเกาะเต่า จะไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ครับ นั่นก็คือ หาดทรายรี ถิ่นสตรีควงกระบองไฟ(อันนี้ผมต่อเอง) ฝรั่งนี้เต็ม หาคนไทยนี้ยาก ผมนึกว่าอยู่ต่างประเทศ ว่าละก็ตัดภาพไปเลยละกัน

*สำหรับทริปนี้ก็ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณมากๆถ้าคุณอ่านทุกบรรทัดของผม ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปของผมทั่งสามคน ขอบคุณคำติชมสำหรับคนที่หัดถ่ายรูปทำรีวิวครั้งแรก แต่ครั้งนี้ผมนำรูปเดิมกับมาริวิวใหม่ ขอบคุณครับ

สิมิลันฉันรักเธอ *~

เกาะแปด - อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.

กิน เที่ยว ถ่าย

July 6, 2017, 11:17 PM July 7, 2017, 3:29 PM

สิมิลันฉันรักเธอ *~

เกาะสิมิลัน จังหวัด พังงา

" ขอเกริ่น "

Chapter 0 . . . . : เขาว่ากันว่า " สิมิลันคือดินแดนแห่งสวรรค์อีกทีนึงของประเทศไทย " เราว่ามันก็จริง ๆ นะ มันไม่น่าเชื่อเลยว่าเรานั่งดูรูปคนอื่น ๆ เราคิดว่า " เห้ย ทำไมน้ำมันใสแบบนั้น ตัดต่อเปล่า " เอาเป็นไม่พูดมากดีกว่า ถ้าใครมีโอกาสมา และชอบในรักการดำน้ำดูปลา ปะการังละก็ ห้ามพลาดเลย !! และหมู่เกาะสิมิลันยังเป็นอุทยานแห่งชาติ มีที่ประทับ Passport แน่นอน . . เริ่มไปดูรูปกันเลยยย

" โคตรสะดวก รถตู้ Wow andaman มารับถึงภูเก็ต "

Chapter 1 . . . . รถตู้มารับเราหน้า โรงแรม " Oneloft Hotel Phuket " ประมาณ 6 โมงเศษ ๆ หลังจากนั้นรถตู้ก็จะไปรับคนตามโรงแรมต่าง ๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงได้กว่าจะถึงที่ท่าเรือของ Wow andaman . .  พอถึงก็รีบไป Check in ก่อนเลย ( เพราะว่าหิวข้าว ) หลังจาก Check in เจ้าหน้าที่ก็จะเอาริชแบนด์ให้แต่ละสี ในแต่ละสีนั้นก็จะไปสถานที่แตกต่างกัน หรือไม่ก็ไปที่เดียวกันแต่คนละรอบนั้นเอง . . . สายตาเรามองไปหาอาหารเช้าก่อนเลย พูดตรง ๆ ว่าหิวมาก ขออะไรรองท้องก่อนก็ได้จะโอเคมาก ๆ เราก็เจอกับอาหารเช้ามีตัวเลือกให้หลากหลายอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนจะกินข้าวเช้าก็ต้องไปเบิก snorkel กับผ้าขนหนูก่อน ซึ่งทาง wow andaman มีให้บริการไว้ครบแล้ว เราแทบไม่ต้องเอาอะไรมาเลย แค่เพียงเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการที่จะไปเที่ยว และกล้องถ่ายรูปสวย ๆ ไว้ถ่ายใต้น้ำ หรือจะถ่ายที่หาดก็ได้ แต่ถ้าหากใครลืมกล้อง wow andaman ก็มีบริการให้ยืมหรือให้เช่าเหมือนกัน . . 

" เตรียมพร้อมออกลุย ทะเลอันดามัน"

Chapter 2 . . . . : ระหว่างที่เรานั่งกินข้าวเช้า ก็จะมีพี่ไกด์คอยเดินดู สีริชแบนด์ในแต่ละสี คอยแจ้งว่า จะรวมตัวฟังกิจกรรมต่าง ๆ และสถานที่จะไปดำน้ำ และพักกินข้าวตอนช่วงกี่โมง  ถึงเวลาออกเดินทางก็นั่งเรือเกือบ 2 ชั่วโมง แต่ระหว่างเดินทางนั้น พี่ไกด์ก็จะแนะนำ ในเรื่องต่าง ๆ และมีการบริการให้บนเรือ เช่น การใส่เสื้อชูชีพ บริการเสิรฟ์น้ำและของว่างอยู่บ่อย ๆ

" เวลาผ่านไปไว เหมือนโกหก "

Chapter 3 . . . . : เผลอนั่งเรือแปปเดียวก็ถึงหาดแรก " เห้ย น้ำโคตรใส อย่างกับแต่งโฟโต้ช๊อปแหนะ " ถึงจุดนี้พี่ไกด์ก็จะบอกว่าให้เวลาลงไปถ่ายรูป เล่นน้ำ ก่อนที่จะไปดำน้ำกัน โดยให้เวลา 50 นาที เราก็ยังไม่เล่นน้ำ รอไปดำน้ำทีเดียวดีกว่า ไปเดินถ่ายรูปเล่นกับหาที่ ปั้ม Passport ของ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา  

" อยากเจอเต่าจัง วันนี้ไม่ได้จ้างมา พี่ไกด์บอก "

Chapter 4 . . . . : พอถึงจุดดำน้ำ ก็ไม่รอช้า รีบลงเลยจ้า . . . .รูปมันก็เป็นแบบนี้ ส่วนเรื่องพี่เต่า เราอยากเจอมาก ๆ แต่วันที่เราไป คลื่นแรง มีฝนเป็นบางส่วน ก็เลยไม่ได้ดำน้ำในจุดที่อาจจะเจอพี่เต่าได้ รู้สึกเสียใจ๋จังเบยยย

" หินเรือใบ จุดแลนด์มาร์กที่ต้องขึ้นไปชมวิว "

Chapter 5 . . . . : ถึงจุดนี้ก็จะแวะกินข้าวเที่ยงกันและส่วนใครที่อยากจะไปถ่ายรูปก็สามารถไปถ่ายได้ หรือจะเล่นน้ำก่อนก็ได้ ตามอัธยาศัยเลย จุดชมวิวด้านบนขึ้นไม่ลำบากมากนัก ( ความคิดส่วนตัวนะ ) แต่ย้ำว่าหารองเท้ามาใส่ ไม่งั้นหินบาด หรือ ลื่นก็เป็นได้ . . . . เราเตือนไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาทนะ

" บทสรุป "

" ดูวีดิโอคลิก "

ถ้าชอบฝากติดตามด้วยนะคร้าบ

Facebook Page : https://goo.gl/WKTPLC 

Blog : https://goo.gl/lLlUQ1

IG : https://goo.gl/CPUA2U

Youtube : https://goo.gl/kh1x68  

ฝากติดตามกันด้วยนะคร้าบ

ขอบคุณคร้าบ

ล่องแพไม้ไผ่ สดชื่นชุ่มฉ่ำ ณ บ้านวังหอน นครศรีธรรมราช

บ้านวังหอน (Ban Wang Horn) จ.

theTripPacker

July 7, 2017, 11:36 AM July 7, 2017, 3:29 PM

จังหวัดนครศรีธรรมราช เมืองสองธรรมของไทยนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย แต่คนส่วนใหญ่มักจะแวะเที่ยวจังหวัดนี้แค่ในตัวเมืองหรือตามที่สถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ เท่านั้น คราวนี้เราลองขับรถออกจากตัวเมืองมาสักนิด มุ่งตรงมาทางอำเภอชะอวด เราก็จะได้เจออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวบรรยากาศดีแห่งใหม่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช นั่นคือ บ้านวังหอน  เส้นทางการเดินทางอาจจะดูลึกลับซับซ้อนไปนิด เพราะสมัยก่อนชุมชนนี้ถือเป็น วังลับแล ของจังหวัด ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมในแบบชาวบ้านชนบท เรียบง่าย โดยมีอาชีพหลัก คือ การทำกสิกรรม การทำสวนยาง การปลูกผลไม้แบบผสมผสานแล้วนำมาแปรรูป ที่ขึ้นชื่อคือ "ทุเรียนกวน" ที่ทำจากเนื้อทุเรียนบ้าน ที่สุกจากบนต้นแล้วหล่นเอง ไม่มีการบ่ม ชาวบ้านจะเรียกว่า "ทุเรียนเหลิ่น" แต่ไฮไลต์ของชุมชนในตอนนี้ คือการล่องแพไม้ไผ่ชมธรรมชาติสองฝั่งคลอง ที่บ้านวังหอนนี่เอง 

หลังจากที่เราขับรถตาม GPS จนมาถึงชุมชนบ้านวังหอน จะมีป้ายบอกทางที่ชัดเจนขึ้นเพื่อนำเราไปยังจุดหมาย การล่องแพบ้านวังหอนนี้เป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่จะช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าต้นน้ำ ลำธารให้ยังคงอุดมสมบูรณ์ คลองธรรมชาติที่เราล่องกัน เกิดจากป่าต้นน้ำของเทือกเขาบรรทัดที่ไหลลงสู่แม่น้ำปากพนัง ซึ่งในอดีตคลองนี้จะเป็นจุดพักน้ำสำหรับชาวบ้านที่ทำนา แต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนมาให้บริการล่องแพชมธรรมชาติแก่นักท่องเที่ยว ถือเป็นการเสริมสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านในชุมชนอีกทาง  

หากใครพร้อมจะลงแพแล้วก็หยิบเสื้อชูชีพและเดินไปรอที่ท่าน้ำได้เลย แพไม้ไผ่1ลำ สามารถนั่งได้ไม่เกิน 3 คน ทุกลำจะมีเจ้าหน้าที่คอยพายให้ ระยะทางไป-กลับประมาณ 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นั่งแช่เท้าชมวิวได้เพลินๆ ขอบอกเลยว่าน้ำใสและเย็นชื่นใจมากใครจะโดดเล่นน้ำล่องตามแพก็ได้ มีจุดให้แวะเล่นน้ำด้วย ซึ่งจุดนี้จะมีลักษณะเป็นลานหินและน้ำตื้น เด็กๆสามารถเล่นได้สบายและวิวตรงนี้จะสวยกว่าตรงบริเวณท่าน้ำที่เราลงแพครับ

ล่องแพเสร็จใครอยากนอนแช่น้ำต่อก็ได้ หรือจะติดใจอยากพักค้างคืนใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ที่นี่ก็มีบริการกระท่อมไม้ไผ่ไว้รองรับนักท่องเที่ยว รวมอาหารเย็นรสชาติหรอยแรงอีกด้วย แต่บ้านพักต้องจองล่วงหน้าเท่านั้นนะครับ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนอื่นๆที่ใกล้ชิดธรรมชาติในชุมชนบ้านวังหอนนี้ ได้แก่ คลองน้ำใสจากป่าต้นน้ำ ถ้ำวังนายพุฒิ ป่าดึกดำบรรพ์ อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส สวนผลไม้ วัดวังหอม เป็นต้น เรามีโอกาสได้แวะวัดวังหอมไหว้พระที่วัดวังหอม และสักการะสรีระสังขาลหลวงพ่อแสง ต่อด้วยเดินป่าเพื่อเข้าชมถ้ำวังนายพุฒิ ระยะทางเดินนั้นไม่ไกลแต่ถ้ามาในช่วงฤดูฝนก็อาจจะเจอทางลื่นชันและทากดูดเลือดได้ ถ้ำวังนายพุฒินี้ ตั้งชื่อตามนายพุฒิที่เป็นคนค้นพบถ้ำ ป็นถ้ำที่มีความสวยงามเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย มีความกว้างประมาณ 100 เมตร ความยาว 400 เมตร และมีทางลอดทะลุไปอีกด้านหนึ่งได้ ถ้าทะลุไปจะเจอป่าดึกดำบรรพ์ ภายในถ้ำนี้มีค้างคาวอาศัยอยู่ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าชุมชนเล็กๆลึกลับแห่งนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย เอาเป็นว่าใครกำลังวางแผนเที่ยวใต้ เที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราช อย่าลืมแวะล่องแพบ้านวังหอนด้วยนะ รับรองจะพกความสดชื่นชุ่มฉ่ำกลับไปเต็มกระเป๋าแน่นอน

จุดเด่น

การล่องแพบ้านวังหอนเป็นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ช่วยพัฒนาให้ชุมชนให้ชาวบ้านมีรายได้เริมจากการทำเกษตรและสวนผลไม้ และยังเป็นการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าต้นน้ำ และลำธาร

จุดด้อย

เนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่มากๆของจังหวัด ทำให้ระหว่างทางยังไม่มีป้ายบอกทางที่ชัดเจน การติดต่อเพื่อไปท่องเที่ยวยังไม่ค่อยสะดวกค่อนข้างติดต่อยาก ไม่มีคนให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวได้เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยว

ข้อสรุป

ถ้าคุณอยากพักผ่อนสัมผัสธรรมชาติ ชุมชนบ้านวังหอนนี้ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก นอกจากจะได้มาคลอง ล่องแพ แลธรรมชาติบนแพไม้ไผ่ แล้วยังได้ลองมาทานอาหารพื้นบ้านรสชาติจัดจ้านแบบชาวใต้ รวมถึงได้เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ยังคงความสดใหม่และอุดมสมบูรณ์

คะแนน 4/5

ข้อมูลทั่วไป

ที่ตั้ง : 284 หมู่ที่ 5 ตำบลวังอ่าง อำเภอชะอวด 80180

GPS : 7.906773, 99.787203

ช่องทางติดต่อ : 063 191 6591, 080 695 5656

Facebook : www.facebook.com/banwanghornraft99

อัตราค่าบริการ : ราคาล่องแพไม้ไผ่เริ่มต้น 200 บาท/คน (เด็ก 120 บาท), ราคาแพ็คเก็จที่พัก 2 วัน 1คืน พร้อมกิจกรรมล่องไม้ไผ่เริ่มต้น 700 บาท (ราคามีการปรับเปลี่ยนสอบถามก่อนเดินทาง)

เวลาเปิด-ปิด  : ทุกวัน 9.00 - 16.00 น.

จุดเด่น : มีกิจกรรมให้ท่องเที่ยวมากมายหลายรูปแบบ เหมาะกับคนที่ต้องการพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ

ข้อเสนอแนะ : หากมีแพลนจะไปเที่ยวถ้ำวังนายวุฒิด้วย ควรใส่รองเท้าผ้าใบรัดกุม และพกไฟฉายสำหรับนำทางในถ้ำ

วิธีการเดินทาง

โดยรถยนต์ส่วนตัว : เดินทางผ่านถนนทางหลวงหมายเลข 41 เลี้ยวซ้ายเข้าแยกไม้เสียบ เข้าสู่ถนนหมายเลข 4270 ประมาณ 13 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 4175 ประมาณ 7 กิโลเมตร และตรงต่อไปตามถนนหมายเลข 4096 อีก 1 กิโลเมตร จะอยู่ทางขวามือ

โดยรถประจำทาง : จากตัวเมืองลงที่สถานีแยกไม้เสียบ และต่อรถรับจ้างมายังชุมชน

ชิลๆที่ Peggy Cove Resort ดูวิวสวยๆที่เนินนางพญา

PEGGY'S COVE RESORT จ.

Pongchenko Vongola

July 7, 2017, 11:44 AM July 7, 2017, 3:29 PM

2 วัน 1คืน หนีกรุงไปหัวหิน มีตังค์แค่ 1500 บาท ไปเที่ยวได้แล้ว

2 วัน 1คืน หนีกรุงไปหัวหิน

....HI...เดินเตะฝุ่น วันไปเที่ยวไหนดี ขออาสาพาทุกคนไปเที่ยว 

การเที่ยวคนเดียวมันไม่ได้กลัวอย่างที่คิด แค่ใจเราพร้อมเดินทาง ทุกอย่างสบายมากๆๆการเดินทางแสนง่ายจะขับไปเองก็หรือจะนั่งรถตู้ หรือชิลนั่งรถไฟก็ยังได้ วันนี้เจ้าฝุ่น

ปักหมุด ไว้ๆๆ.. แบกเป้ ตามใจฉัน... -หาดตะเกียบ วัดตะเกียบ  - - หาดหัวหิน - - เพลินวาน หัวหิน - - ตลาดโต้รุ่ง - - อุทยานราชภัฏราชภัฏ - - ตลาดน้ำสามพันนาม - - The Cicada Market หรือตลาดจักจั่น - - สถานีรถไฟหัวหิน -

0*..........*0 ขอเลือกการเดินทางแบบง่ายๆๆโดยรถตู้ขึ้นรถที่สายใต้เก่า.. หลังจากเลิกงาน ก็ไปทันที เพราะความบ้า... ถึงทำได้ นั่งจาก กรุงเทพ 2-3 ชม

- เย้ๆๆถึงที่หมายรถตู้จะไปจอดที่ วงเวียนในตลาดหัวหิน เราจองห้องพักไว้เรียบร้อย โดย จองผ่านอโกด้า

- ตามระเบียบ จากนั้นไม่รอช้า ง่วงละ..พักเก็บแรง.. เสียงนาฬิกาปลุกดัง ตอน 6.00 น. รีบตื่นเช้า หาข้าวทานและหา เช่า มอเตอร์ไซค์ขี่เลย ตกคันละ 300 บาท

- ถือว่าไม่แพงนะค่ะ ถามว่ากลัวไม เวลาไปไหนคนเดียว ตอบเลย ไม่กลัวค่ะ เพราะปกติ ก้อไปไหนมาไหนคนเดียวตลอดเลย ชินกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว...แค่มีตังค์และกล้องคู่ใจ ขาตั้งกล้อง มันจะดีต่อใจเจ้าฝุ่นที่สุด*-*

 -- วันแรก-- --- เริ่มเดินทาง เช้าวันใหม่ แว้นที่แรก อุทยานราชภักดิ์ พระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ จะไกลหน่อยๆๆๆ หลังถ่ายรูปชิลเสร็จ ต่อด้วยตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม ทันที ตกเย็นไปนั่งชิล ริมทะเลที่เขากระโหลก ค่ำๆๆๆว้าบๆๆไปเพลินวาน ต่อด้วยตลาดหัวหิน และกลับห้องนอนๆๆ    

--- สถานที่แรก ของเราวันนี้ๆๆ - อุทยานราชภัฏราชภัฏ ---

 --เช้าวันที่สอง -- -- ตื่นหาอะไรทาน ตามปกติ และต่อด้วยขี่รถไปสถานทีรถไฟที่ขึ้นชื่อของหัวหิน แต่เสียดายเราไม่ได้นั่งรถไฟมาๆ บ่ายเอารถไปคืน และ นั่งรถตู้กลับกทม ถ้ามีโอกาสสัญญา..ว่าจะกลับไปอีก

 สรุปค่าใช้จ่าย

-- ค่ารถตู้ไป+กลับ>> 180+180 = 360 บาท

--เช่ารถมอเตอร์ ไซค์ +น้ำมัน1 วัน >300 บาท 

--ที่พัก คืนละ >>500 ค่ากิน >> 200 บาท

รวม 1360 บาท  

.....ถ้าชีวิตมันอ้างว้าง มาร่วมทางไปกลับเราไม...    

ติดตามพวกเราได้ที่  IG : yuyyuy33  Facebook Page : เดินเตะฝุ่น  หรือ https://www.facebook.com/WalkKickDust/ ติดต่อรีวิวได้ที่  Tel. 088-9433609 ( คุณยูยุ้ย )  E-mail : oh.yuy1414@gmail.com

2 วัน 1คืน หนีกรุงไปหัวหิน มีตังค์แค่ 1360 บาท

เพลินวาน@หัวหิน จ.

เดิน เตะ ฝุ่น ( Walk Kick Dust )

July 7, 2017, 2:53 PM July 7, 2017, 3:29 PM

2 วัน 1คืน หนีกรุงไปหัวหิน มีตังค์แค่ 1500 บาท ไปเที่ยวได้แล้ว

2 วัน 1คืน หนีกรุงไปหัวหิน

....HI...เดินเตะฝุ่น วันไปเที่ยวไหนดี ขออาสาพาทุกคนไปเที่ยว 

การเที่ยวคนเดียวมันไม่ได้กลัวอย่างที่คิด แค่ใจเราพร้อมเดินทาง ทุกอย่างสบายมากๆๆการเดินทางแสนง่ายจะขับไปเองก็หรือจะนั่งรถตู้ หรือชิลนั่งรถไฟก็ยังได้ วันนี้เจ้าฝุ่น

ปักหมุด ไว้ๆๆ.. แบกเป้ ตามใจฉัน... -หาดตะเกียบ วัดตะเกียบ  - - หาดหัวหิน - - เพลินวาน หัวหิน - - ตลาดโต้รุ่ง - - อุทยานราชภัฏราชภัฏ - - ตลาดน้ำสามพันนาม - - The Cicada Market หรือตลาดจักจั่น - - สถานีรถไฟหัวหิน -

0*..........*0 ขอเลือกการเดินทางแบบง่ายๆๆโดยรถตู้ขึ้นรถที่สายใต้เก่า.. หลังจากเลิกงาน ก็ไปทันที เพราะความบ้า... ถึงทำได้ นั่งจาก กรุงเทพ 2-3 ชม

- เย้ๆๆถึงที่หมายรถตู้จะไปจอดที่ วงเวียนในตลาดหัวหิน เราจองห้องพักไว้เรียบร้อย โดย จองผ่านอโกด้า

- ตามระเบียบ จากนั้นไม่รอช้า ง่วงละ..พักเก็บแรง.. เสียงนาฬิกาปลุกดัง ตอน 6.00 น. รีบตื่นเช้า หาข้าวทานและหา เช่า มอเตอร์ไซค์ขี่เลย ตกคันละ 300 บาท

- ถือว่าไม่แพงนะค่ะ ถามว่ากลัวไม เวลาไปไหนคนเดียว ตอบเลย ไม่กลัวค่ะ เพราะปกติ ก้อไปไหนมาไหนคนเดียวตลอดเลย ชินกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว...แค่มีตังค์และกล้องคู่ใจ ขาตั้งกล้อง มันจะดีต่อใจเจ้าฝุ่นที่สุด*-*

 -- วันแรก-- --- เริ่มเดินทาง เช้าวันใหม่ แว้นที่แรก อุทยานราชภักดิ์ พระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ จะไกลหน่อยๆๆๆ หลังถ่ายรูปชิลเสร็จ ต่อด้วยตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม ทันที ตกเย็นไปนั่งชิล ริมทะเลที่เขากระโหลก ค่ำๆๆๆว้าบๆๆไปเพลินวาน ต่อด้วยตลาดหัวหิน และกลับห้องนอนๆๆ    

--- สถานที่แรก ของเราวันนี้ๆๆ - อุทยานราชภัฏราชภัฏ ---

 --เช้าวันที่สอง -- -- ตื่นหาอะไรทาน ตามปกติ และต่อด้วยขี่รถไปสถานทีรถไฟที่ขึ้นชื่อของหัวหิน แต่เสียดายเราไม่ได้นั่งรถไฟมาๆ บ่ายเอารถไปคืน และ นั่งรถตู้กลับกทม ถ้ามีโอกาสสัญญา..ว่าจะกลับไปอีก

 สรุปค่าใช้จ่าย

-- ค่ารถตู้ไป+กลับ>> 180+180 = 360 บาท

--เช่ารถมอเตอร์ ไซค์ +น้ำมัน1 วัน >300 บาท 

--ที่พัก คืนละ >>500 ค่ากิน >> 200 บาท

รวม 1360 บาท  

.....ถ้าชีวิตมันอ้างว้าง มาร่วมทางไปกลับเราไม...    

ติดตามพวกเราได้ที่  IG : yuyyuy33  Facebook Page : เดินเตะฝุ่น  หรือ https://www.facebook.com/WalkKickDust/ ติดต่อรีวิวได้ที่  Tel. 088-9433609 ( คุณยูยุ้ย )  E-mail : oh.yuy1414@gmail.com

ตามหาความสุขติดดิน ที่บ้านไร่ชายเขาฟาร์มสเตย์

เชียรใหญ่ จ.

Panutchakorn Jirakashaporn

July 7, 2017, 2:59 PM July 8, 2017, 3:48 PM

ที่นี่...ความสุขไม่ได้อยู่ที่ความหรูหรา แต่อยู่ที่ว่าเราจะหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างไร ได้ยินคำเปรยๆนี้แล้วทำให้เรานึกขึ้นมาว่า ทุกวันนี้ที่ทำอยู่มีความสุขจริงเหรอ คิดไปคิดมาเลยอยากออกเดินทางไปตามหาความสุขที่แท้จริงดู เราเลือกเดินทางไปจังหวัดนครศรีธรรมราช เมืองสองธรรมแหล่งธรรมะที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม  และธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ จุดหมายของการค้นพบความสุขในทริปนี้ คือ บ้านไร่ชายเขาฟาร์มสเตย์ ตำบลเขาพระบาท อำเภอเชียรใหญ่  ฟาร์มสเตย์แห่งแรกและแห่งเดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราช เราได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของฟาร์มสเตย์แห่งนี้ถึงแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ที่มีความสำนึกรักในบ้านเกิด จึงกลับมาและผลักดันชุมชนแห่งนี้ให้เป็นที่พักผ่อนเชิงเกษตรแห่งใหม่ของจังหวัด บ้านพักของที่นี่จึงจะเป็นสไตล์ลอฟท์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อยู่ท่ามกลางหุบเขา ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวสดชื่น 

บ้านไร่ชายเขาฟาร์มสเตย์นี้ ปัจจุบันมีบ้านพักเพียง 2 หลังเท่านั้น แต่ละหลังจะพักได้ 2-3 คน แน่นอนว่าทั้งเป็นตัวส่วนตัวและเงียบสงบสุดๆ บ้านทั้ง2 หลังนี้มีชื่อเรียกตามต้นไม้ที่ปลูกอยู่บริเวณรอบๆบ้าน อย่างบ้านที่เราพักชื่อ เรือนดอกแก้ว ตั้งชื่อตามต้นแก้วที่ขึ้นอยู่ริมบ้านส่งกลิ่นหอมละมุน  หน้าบ้านจะมีระเบียงยื่นลงไปในบ่อเลี้ยงปลา สามารถนั่งห้อยขาเพลินๆได้ นั่งสักพักกก็จะมีน้องปลาว่ายมาส่งยิ้มให้เราด้วย และหากเราเดินไปรอบๆบ้านจะเจอสวนปาล์มภูเขา ต้นไม้เก่าแก่ สวนผลไม้ สวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน รวมถึงทุ่งนาในช่วงฤดูฝนด้วย เมื่อเรามาถึงจะมี welcome drink เป็นน้ำอัญชัน หอมหวานเย็นชื่นใจไว้คอยบริการ หลังจากเช็คอินเก็บกระเป๋าเรียบร้อยก็ถึงเวลาลองเป็นชาวสวนชาวไร่ ขี่จักรยานไปเก็บผักสวนครัว ผักพื้นบ้านต่างๆมาทำอาหารกันแล้ว มื้อนี้เราจะได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ส่วนใครกังวลว่าจะทำอาหารไม่เป็น ไม่ต้องห่วงที่นี่มีคุณแม่ใจดีคอยช่วยทำทุกเมนู เมนูในวันนี้มีแกงส้มปลาช่อน ต้มกะทิหน่อไม้อ่อนใส่กุ้ง (สำหรับหน่อไม้ก็ไปฟันกันมาจากต้นสดๆเลย) และสุดท้ายข้าวยำภาคใต้ที่รสชาติจัดจ้านถึงใจมากครับ

ขั้นตอนการทำอาหารแต่ละเมนู คุณแม่จะสอนเราอย่างละเอียดตั้งแต่เลือกผัก ว่าควรเลือกแบบไหนถึงจะอร่อยพอดี ไม่แก่ไปไม่ดิบไป เลือกผักแล้วก็จะสอนขูดกะทิ แกะปลาย่าง หั่นผัก ตำน้ำพริก จนถึงการจัดจานพร้อมเสิร์ฟเลย แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าได้ลงมือทำอะไรเองแทบทุกอย่าง ทั้งมีความสุขและภูมิใจ หลังจากมื้อเย็นเราก็นั่งคุยกับพี่เจ้าของและคุณแม่จนเริ่มง่วง เลยขอตัวกลับไปอาบน้ำแร่จากตาน้ำร้อยปีที่บ้านพักก่อน น้ำแร่นี้มาจากบ่อน้ำผุดบ่อน้ำผุด ตาน้ำกว่าร้อยปีที่ไม่เคยเหือดแห้ง สามารถใช้ได้ทั้งอุปโภคและบริโภค นอกจากนี้ที่นี่ยังมีจุดเด่นอีกอย่างคือมีดอกไม้ป่า “เอื้องหมายนา” ซึ่งถือได้ว่าเป็น “ราชินีดอกไม้ป่าแห่งบ้านไร่ชายเขา” หาพบยากในปัจจุบัน ส่วนสิ่งที่ทำให้ประทับในที่นี่ก็คงเป็นพี่เจ้าของ และคนในชุมชนที่มีความเป็นกันเอง พร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาเรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี และพักผ่อนอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ สุดท้ายก่อนกลับเรามีโอกาสได้แวะไปชมบ้านพักอีกหลัง เรือนไผ่สีสุก บ้านหลังนี้ การตกแต่งสไตล์ลอฟท์เหมือนๆกัน แต่จะมีเรือให้พายหน้าบ้านด้วย แปลกจังอยู่ที่นี่แล้วสบายใจจนไม่อยากกลับเข้าเมืองไปเจอความวุ่นวายเลย ใครอยากหนีกรุงมาตามหาความสุขที่แท้จริงแบบเรา มาที่บ้านไร่ชายเขา จังหวัดนครศรีธรรมราชนะ

ข้อมูลทั่วไป

ที่ตั้ง : 92 ม.8 ต.เขาพระบาท อ.เชียรใหญ่ 80190

GPS : 8.046477 , 100.18728

ช่องทางติดต่อ : 0932495545

facebook : www.facebook.com/LaddawanS261556

E-mail : laddawan0756@hotmail.com

อัตราค่าบริการ : ราคาเริ่มต้น 1,000 บาท/ห้อง (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาโทรสอบถามอีกครั้ง)

จุดเด่น : ฟาร์มสเตย์แห่งแรกและแห่งเดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่จะทำให้เราได้สดชื่นไปกับธรรมชาติ และมีความสุขกับสิ่งรอบตัวตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง

วิธีการเดินทาง

โดยรถยนต์ส่วนตัว : เดินทางโดยใช้ถนนหมายเลข 408 ขับรถตรงมาจากสี่แยกหัวถนน ระยะทางประมาณ 52 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ก่อนถึงทางเข้า ซ้ายมือจะขับรถผ่านเทศบาลตำบลการะเกด ต่อมาจะเจอปั๊มเชล หลังจากนั้นกลับรถแล้วขับมาอีกประมาณ 500 เมตร เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะเจอจุดหมายปลายทางอยู่ซ้ายมือโดยรถประจำทาง : สามารถขึ้นรถตู้ประจำทาง นครศรี๚-หัวไทร ที่บขส.นครศรีธรรมราช เดินทางโดยใช้ถนนหมายเลข 408  ระยะทางประมาณ 62 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ  1ชั่วโมง ค่าบริการถตู้ 52 บาท/ท่าน แจ้งคนขับว่าลงรถที่ปากคลอง จากปากซอยนั่งมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร ค่าบริการ 20 บาท/ท่าน

จุดเด่น

บ้านไร่ชายเขาเป็นฟาร์มสเตย์ที่สร้างสรรค์จากคนรุ่นใหม่ในชุมชน ทำให้บ้านพักออกแนวลอฟท์กลมกลืนไปกับธรรมชาติ แต่ภายในบ้านพักก็สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมครบครัน ทำเลที่ตั้งดีมีทั้งสวนผลไม้ สวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมัน และทุ่งนาในช่วงฤดูฝน เหมาะแก่การมาพักผ่อนและตามหาความสุขที่หายไปในชีวิต

จุดด้อย

เนื่องจากเป็นที่พักเปิดใหม่ของจังหวัด บ้านพักอาจยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยว และบ้านไร่ชายเขานี้ถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาในบางจุดอาจไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

ข้อสรุป

หากต้องการตามหาความสุขที่เรียบง่ายติดดิน บ้านไร่ชายเขานี้ตอบโจทย์ได้ทุกข้อ เพราะนอกจากจะได้พักผ่อนแล้วยังได้ลองทำอะไรด้วยตัวเองแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน มีกิจกรรมน่าสนใจให้เราเลือกทำได้หลากหลาย บ้านพักทุกหลังเน้นสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติ โดยใช้ปูนขัดมันและใช้ไม้ที่มีอยู่ในสวนมาเป็นองค์ประกอบในการตกแต่งบ้าน ริมน้ำมีป่าสาคูให้ชมซึ่งหาดูได้ยากในปัจจุบัน นอกจากนี้พี่เจ้าของและชาวบ้านในชุมชนยังให้การต้อนรับเป็นอย่างดี มีความเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยว

คะแนน 5/5

เขาหินปูน เนินมะปรางในวันที่ไร้หมอกแต่ไม่ไร้ความรู้สึก

อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก จ.

pernvern fonrin

July 7, 2017, 3:04 PM July 8, 2017, 3:48 PM

เขาหินปูน บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก

ทริปนี้เกิดขึ้นหลังจากเราไปวิ่งมาราธอนที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกัน ตอนแรกตั้งใจพากันเที่ยวภายในจังหวัดสุโขทัย แต่ด้วยความที่ผิดแผนกันไปหมดตั้งแต่เริ่มเดินทาง เลยทำให้มีเวลาเที่ยวแค่วันเดียวคือวันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน หลังจากที่วิ่งมาราธอนเสร็จ 

เราเดินทางออกจากสุโขทัยประมาณสิบเอ็ดโมงเช้า มุ่งสู่อำเภอเนินมะปราง ตั้งใจจะไปถ่ายรูปเขาหินปูนเลยลำดับแรก หวังอยากมีท้องฟ้าสีฟ้าสดใส แต่วันที่ไปนั้นท้องฟ้าสีหม่นมาก แต่ก็ยังถือว่าสวยอยู่

อำเภอเนินมะปรางห่างจากตัวจังหวัดพิษณุโลกประมาณ 68 กิโลเมตร การเดินทางถือว่าสะดวกมาก เพราะถนนอย่างดีเลย ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางถึงที่หมาย

ที่แรกที่เราตั้งใจไปกัน คือเขาหินปูน บ้านมุง เพราะเจอในรีวิวแล้วอยากไปเจอ อยากไปดูมาก สวยอย่างที่หวังจริงๆค่ะ เสียอย่างเดียวไปแล้วไม่เจอหมอก หรือเจอท้องฟ้าสวยๆ แต่ก็ยังสวยอยู่น้า

แวะถ่ายภาพข้างทางก่อนไปถึงบ้านมุง วิวสวยมากๆเลยค่ะ แนะนำให้จอดรถแล้วเดินถ่ายรูปเล่นตามคันนา รับรองจะได้ภาพสวยๆที่มีภาพหลังเป็นเขาหินปูน

เขาหินปูน บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก

ทริปนี้เรามีเวลาแค่ครึ่งวัน เลยไม่ได้แวะหลายๆที่ที่อยากแวะ บวกกับอาการล้าจากการวิ่ง แถมยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกันอีก จึงทำให้เกิดอาการขี้เกียจบ้างเล็กน้อย

มุมตรงหมู่บ้าน เป็นมุมที่ทุกคนที่อยากมาถ่ายภาพกลับไป มุมนี้ถ้ารอจนถึงประมาณหกโมงเย็น จะมีค้างคาวบินออกมา แต่เราไปจุดนี้ประมาณบ่ายสามโมง ถ้าจะรอจนถึงหกโมงเย็นก็เกรงจะค่ำมาก เพราะเราตั้งใจจะไปพักที่บ้านรักไทย จึงไปแค่ถ่ายรูปแล้วก็ออกมากันก่อน

บ้านรักไทย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก

เมื่อออกจากบ้านมุง เราก็มุ่งไปยังบ้านรักไทย ตอนแรกคิดว่าทางไม่น่าจะโหดเท่าไหร่ 

แต่เมื่อเจอเนินชันมากถึงมากที่สุด แถมยังหักศอกได้อย่างน่าหวาดเสียว ไหนจะโค้งตัวเอสอีกหลายๆโค้ง

คือแบบ...ทริปนี้ใช้รถอีโค่คาร์ เครื่องพันสองด้วยไง เจอแบบนี้เข้าไปนี่ทั้งคันเงียบกริบ ลุ้นระทึกกันเลยทีเดียว รอดไม่รอด รอดไม่รอด 

แต่ขอบอกเลยค่ะว่า ตอนขึ้นนี่ไม่น่ากลัวเท่าตอนลง แบบว่าลุ้นจนเกือบไม่หายใจกันเลยทีเดียว ตอนแรกตั้งใจจะถ่ายวีดีโอขาลง แต่เมื่อเจอทางเข้าไปนี่ มัวแต่กลัวจนลืมไปเลย 

ทั้งหมดทั้งมวลที่เราฝ่ากันขึ้นไปนั้น ก็เพื่อเจ้าต้นไม้รูปหัวใจที่ใครๆพากันลงในโซเชียลนั่นแหละค่ะ ตัวดึงดูดอย่างดีที่ทำให้เราต้องไปหา

เราพักที่หมู่บ้านรักไทยหนึ่งคืน ที่พักชื่อบ้านสวนชมวิว ที่ๆมีเจ้าต้นไม้รูปหัวใจกับชิงช้าแสนเหงาที่เรียกเราไปหาค่ะ

ไปถึงค่ำแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร หาข้าวเที่ยงกินตอนเย็นกันเลยค่ะ ส่วนภาพนั้นตื่นมาถ่ายตอนเช้าแทน เพราะล้ากันเหลือเกิน

ทริปสั้นๆ แต่ก็ประทับใจในความทรงจำค่ะ 

ขอบคุณเพื่อนๆที่มาร่วมวิ่ง และมาร่วมทริปด้วยกัน ถึงแม้จะอยู่กันคนที่ทิศ ก็ยังมาด้วยกันได้ ^^